ประกายไฟย้ายบ้านไปที่ http://iskragroup.blogspot.com

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552

ประกายไฟเสวนา ตอน “สถานีต่อไป : แปรรูป รถไฟ รถเมย์!?”


Poster by Palida Nam Prakarapho


13.00 – 16.00 น. วันอาทิตย์ ที่ ….พฤศจิกายน 2552
@ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ราชดำเนิน กรุงเทพฯ

สืบเนื่องจากกรณี ที่กิจการรถไฟประสบปัญหาในการเดินรถและให้บริการประชาชนไม่มีคุณภาพ เ กิดการขัดข้องในการให้บริการจนล่าสุดเกิดอุบัติเหตุรถไฟตกรางทำให้มีประชาชนเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก ด้วยสาเหตุจากการที่รัฐให้งบประมาณสนับสนุนการพัฒนาระบบการขนส่งและเดินรถให้บริการประชาชนไม่เพียงพอ แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นดังได้กล่าวแล้วนั้น รัฐบาลกลับมองว่าเกิดจากสาเหตุที่รัฐเป็นเจ้าของกิจการดำเนินงานเอง ทำให้กลไกการทำงานขาดประสิทธิภาพต้องให้เอกชนเข้ามาดำเนินการแทน(Privatization)จึงจะทำให้ปัญหาที่ประสบอยู่ลดลงหรือหมดไปในที่สุด เช่นเดียวกับกรณีรถเมล์เอ็นจีวี4,000คันที่รัฐบาลกำลังพยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายทางการคมนาคมและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประชาชน โดยรัฐบาลอ้างว่าเพื่อเป็นการลดการขาดทุนขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)แทนที่จะเพิ่มรัฐบาลจะจัดการดูแลอย่างเต็มที่ เพิ่มงบประมาณในการสนับสนุนกิจการรถไฟและรถเมล์อันเป็นสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานให้แก่ประชาชน

ความพยายามในการใช้ข้ออ้างวิกฤตการณ์เรื่องประสิทธิภาพและการขาดทุนของทั้งรถไฟและรถเมล์ของรัฐบาลเพื่อ “ปฏิรูป”องค์กรทั้งสอง โดยการดำเนินนโยบายแปรรูปองค์กรทั้งสองให้เป็นรัฐวิสาหกิจที่เอกชนเข้ามาบริหารจัดการนั้น นอกจากจะส่งผลกระทบโดยตรงต่อสถานภาพและรูปแบบการจ้างงานของกรรมกรทั้งสององค์กรที่ถ้านโยบายถูกนำไปปฏิบัติจะทำให้เกิดการขูดรีดแรงงานมากขึ้น อัตราการว่างงานสูงขึ้น ที่สำคัญประชาชนซึ่งเป็นกรรมกรโดยส่วนใหญ่ยังต้องรับผิดชอบภาระค่าใช้จ่ายในการดำเนินชีวิตประจำวันเพิ่มขึ้นจากนโยบายแปรรูปทั้งๆที่เสียภาษีให้แก่รัฐไปแล้ว นับว่าเป็นการแก้ไขปัญหาที่ไม่ตรงจุดเพราะสาเหตุหลักมาจากการที่รัฐบาลไม่ได้ใส่ใจดูแล ทุ่มเทงบประมาณในการแก้ไขปัญหาเท่าที่ควรดังได้กล่าวแล้วข้างต้น

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นนับว่ามีแนวโน้มที่จะส่งผลเสียต่อพี่น้องแรงงานของทั้งรถไฟ,รถเมล์, ขบวนการแรงงานโดยรวมเพราะทั้งสององค์กรมีการจัดตั้งสหภาพแรงงาน การจ้างงานรูปแบบใหม่หลังจากแปรรูปรัฐวิสาหกิจย่อมส่งผลกระทบต่อการรวมตัวของพี่น้องแรงงานและขบวนการแรงงานในการสร้างอำนาจต่อรองกับนายจ้างและนโยบายที่ไม่เป็นธรรมของรัฐ และโดยเฉพาะส่งผลกระทบต่อพี่น้องประชาชนผู้หาเช้ากินค่ำซึ่งเข้ารับบริการสาธารณะดังกล่าวที่เป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ จะต้องเข้ามาแบกรับภาระค่าใช้จ่ายในการเข้ารับบริการขั้นพื้นฐานทั้งสองนี้ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่องค์กรภาคประชาชนฝ่ายต่างๆจะต้องระดมความคิด แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและประสบการณ์กันสำหรับปัญหาที่เกิดขึ้น อันจะนำไปสู่การหาทางออกที่ควรจะเป็น ยุทธศาสตร์-ยุทธวิธีในการขับเคลื่อนประเด็นปัญหาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายอย่างแท้จริง และเป็นการให้การศึกษาแก่สาธารณชนชนทั่วไปให้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว นำไปสู่การเกิดประโยชน์สูงสุดต่อขบวนการแรงงาน ภาคประชาชน และสาธารณชนโดยรวมต่อไป ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มประกายไฟที่มีสมาชิกส่วนหนึ่งเป็นพี่น้องแรงงานและองค์กรพันธมิตรจึงขอทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการจัดกิจกรรมในลักษณะของการเสวนาเชิงปฏิบัติการ นี้ ภายใต้ชื่อกิจกรรม ประกายไฟเสวนา ตอน “สถานีต่อไป : แปรรูป รถไฟ รถเมย์!?”


วัตถุประสงค์

1.เพื่อให้เกิดการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ ข้อมูล ความคิดเห็นกรณีที่รัฐฉกฉวยสถานการณ์ในการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและทำลายขบวนการแรงงานทางอ้อม แนวทางการต่อสู้ในอดีต ความสำเร็จและล้มเหลวจากการต่อสู้ที่ผ่านมา

2.เพื่อให้ได้แนวทางร่วมกันในการป้องกันและแก้ไขปัญหาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจและทำลายขบวนการแรงงานทั้งสถานการณ์เฉพาะหน้าและยุทธศาสตร์การพัฒนาในอนาคตต่อไป


กิจกรรม

12.30 – 13.00 น. ลงทะเบียน พูดคุยกันตามอัธยาศรัย
13.00 – 16.00 น. เสวนา ในหัวข้อ “สถานีต่อไป : แปรรูป รถไฟ รถเมย์!?”

นำเสวนาโดย
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กลุ่มประกายไฟ
ปกรณ์ อารีกุล สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
วณัฐ โคสาสุ ฝ่ายการเมือง องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)

ดำเนินรายการโดย
สลิลทิพย์ ณ พัทลุง กลุ่มประกายไฟ

สอบถามรายละเอียดได้ที่ 084 660 1664 รัชพงศ์ โอชาพงศ์ ประกายไฟ
หรือ 089 258 3641 bus4530219@hotmail.com เทวฤทธิ์ มณีฉาย
http://prakaifire.blogspot.com/

วันอังคารที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2552

จดหมายถึงเมืองไทย ภาพตัดต่อหกตุลาและภาพตัดต่อคานธี ความเหมือนที่จบต่าง



5 ตุลาคม 2552
New Delhi Republic of India


วันนี้สำหรับคนทั่วๆไปในสังคมไทยวันนี้ก็คงเป็นแค่วันธรรมดาคนหนึ่ง สำหรับสังคมที่ลืมง่ายอย่างสังคมไทยแล้วภาพชาวพุทธคนหนึ่งเอาเก้าอี้หวดไปที่ศพของคนอีกคนหนึ่งอย่างไม่ปราณีปราศัยบริเวณท้องสนามหลวงตรงข้ามวัดพระแก้วสถานที่ศักสิทธิของศาสนาพุทธศาสนาที่ว่ากันว่าสอนถึงความเมตตาคงเป็นภาพที่ถูกลืมไปแล้วพร้อมๆกับตัวเลขในปฎิทินที่เปลี่ยนแปลงไป อย่างไรก็ดีสำหรับผู้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ ผู้ที่เกี่ยวข้องกับเหยื่อในเหตุการณ์หรือผู้รักความธรรมที่ได้ศึกษาประวัติศาตร์การเมืองที่ชุ่มไปด้วยเลือดของรัฐไทย ภาพอันน่าอัปยศนี้คงจะเป็นอะไรที่ลืมไม่ลง จุดเริ่มต้นของการสังหารโหดเมื่อเช้าตรู่วันที่หกตุลานั้นมาจากภาพการแสดงละครล้อระหว่างการประท้วงการกลับเข้าประเทศของพระถนอม จากกรณีการอุ้มฆ่าและแขวนคอสองพนักงานการไฟฟ้าที่ติดโปสเตอร์ประท้วงการกลับมาของพระถนอม ผู้ชุมนุมที่กรุงเทพได้ทำการแสดงละครล้อเพื่อประท้วงการสังหารโหดครั้งนี้ทว่านั่นกลับกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความโหดร้าย ได้มีผู้นำภาพการแสดงละครล้อนั้นเผยแพร่และปลุกระดมว่าผู้ชุมนุมดูหมิ่นบุคคลสำคัญของชาติและต้องการทำลายสถาบันอันเป็นที่เคารพยิ่ง มีการถกเถียงกันต่างๆนานาว่าภาพนี้มีการตัดต่อหรือไม่และถ้ามีการตัดต่อใครเป็นคนทำไม่ว่าข้อเท็จจริงจะเป็นอย่างไรทว่าภาพเจ้าปัญหานี้ท้ายที่สุดก็นำไปสู่การนองเลือด จดหมายฉบับนี้ผมคงจะไม่พูดถึง6ตุลาในแง่ประวัติศาสตร์เพราะคงมีคนพูดถึงกันมากแล้วอีกทั้งผู้มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งโดยตรงและโดยอ้อมคงจะพูดถึงเรื่องราวต่างๆได้ดีกว่าผมที่ยังคงไม่ได้อยู่บนโลกใบนี้กระทั้ง8ปีหลังเหตุการณ์แต่อย่างไรก็ดีภาพบางภาพที่ผมได้เห็นเมื่อสองสามวันก่อนระหว่างที่กำลังศึกษาต่อที่ประเทศอินเดียนี้ได้จุดประกายให้ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ขึ้นมา

สองตุลาคมเป็นวันคล้ายวันเกิดของคานธีผู้ที่ ผู้นำการต่อสู้คนสำคัญคนหนึ่งของอินเดียที่ต่อสู้เพื่อการเป็นเอกราชจากอังกฤษจนได้รับการยกย่องให้เป็นบุคคลสำคัญของประเทศ วันเกิดของเขากลายเป็นวันหยุดประจำชาติและใบหน้าของเขาก็ได้ถูกพิมพ์ลงในธนบัตรทุกราคาที่ใช้ในประเทศนี้ จากตรงนี้คงไม่ต้องบอกว่าสำหรับสังคมอินเดียเขาได้รับการยกย่องมากแค่ไหน ทว่าเนื่องจากคานธีเป็นผู้มีหัวอนุรักษ์นิยมเชิงศาสนาและเชื่อมั่นในระบบวรรณะกลุ่มคนชั้นล่างกลุ่มหนึ่งจึงไม่ค่อยชอบใจนโยบายที่อิงศาสนาและมองสังคมผ่านแว่นระบบวรรณะของคานธี เมื่อวันที่สองที่ผ่านมาขณะไปซื้อข้าวที่แคนทีนผมได้เห็นภาพโปสเตอร์ภาพหนึ่งของกลุ่มนักเรียนที่มาจากวรรณะระดับล่างเชิญชวนให้ไปร่วมฟังการเสวนาในหัวข้อว่าคานธีกับความรุนแรงที่มีต่อคนวรรณะล่าง บนโปสเตอร์มีภาพตัดต่อเอาหน้าของคานธีไปวางบนร่างของแรมโบ้กล้ามใหญ่ถือปืนกระบอกโต ที่ร่ายยาวมานี้ดูเหมือนว่ามันไม่เกี่ยวข้องอะไรกับเหตุการณ์หกตุลาเลย แน่นอนว่าคานธีนั้นไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหกตุลาแต่สิ่งที่ผมกำลังจะสื่ออยู่ตรงที่การเปรียบเทียบความเหมือนกันในเหตุการณ์(ภาพตัดต่อ)กับผลลับที่แตกต่างระหว่างที่อินเดียกับไทย

สำหรับอินเดียคนอินเดียโดยส่วนใหญ่มองคานธีอย่างศรัทธาและชื่นชมทว่าเมื่อกลุ่มนักศึกษาที่มีความเห็นต่างทำการติดโปสเตอร์ที่ตัดต่อรูปของคานธีกับแรมโบกลุ่มผู้ที่สนับสนุนคานธีกลับไม่มีการดำเนินการต่อต้านที่รุนแรง ไม่มีการใช้กำลัง เข้าทำร้ายผู้ติดโปสเตอร์หรือเข้าไปทลายการเสวนาของกลุ่ม ตรงจุดนี้นี่เองที่แสดงถึงเสรีภาพในการแสดงออกและการยอมรับความแตกต่างอย่างสันติ สิ่งที่ผู้สนับสนุนคานธีทำคือการติดโปสเตอร์หรือการจัดเสวนาตอบโต้เท่านั้นซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งปกติตามระบบประชาธิปไตยทว่าไม่มีการก้าวล่วงไปสู่การใช้กำลังใดๆทั้งสิ้น สิ่งนี้แหละที่สังคมไทยยังขาดไปนั่นคือการยอมรับความเห็นต่างและเสรีภาพในการแสดงออก แม้ว่าในมุมหนึ่งอินเดียอาจจะดูเป็นสังคมที่ปิดกว่าไทยเช่นด้วยว่ามีปัจจัยด้านศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้องดังนั้นเช่นการแต่งกายที่นี่ผู้หญิงดูจะแต่งกายมิดชิดกว่าผู้หยิงไทยหรือด้านความเป็นเมืองและความเจริญทางวัตถุที่อินเดียดูจะล้าหลังแต่ทว่าด้านสิทธิเสรีภาพและการเคารพในความเห็นต่างทางการเมืองเราดูจะล้าหลังกว่าเขาหลายขุม การที่ภาพล้อเลียนคานธีไม่นำไปสู่เหตุการณ์2ตุลาที่นี่ ขณะที่ในไทยภาพละครล้อจากการชุมนุมได้นำไปสู้การเข่นฆ่าที่ทารุณจากน้ำมือของผู้ที่ปาวารณาตนว่าเป็นชาวพุทธผู้มีเมตตาโดยมีสถานที่สำคัญทางศาสนาพุทธเป็นฉากหลังเหตุการณ์ที่มีจุดเริ่มต้นเหมือนกันนี้กลับมีจุดจบที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง

หกตุลาในแง่นึงมันคือประวัติศาสตร์ที่จบไปแล้วแต่หากเรามองอีกมุมหนึ่งหกตุลาก้อยังคงเกิดขึ้นวนเวียนอยู่บ่อยๆที่หลายครั้งหลายคราการแสดงความเห็นต่างได้จบลงด้วยความรุนแรงแม้จะไม่เท่าระดับหกตุลานั่นไม่ได้หมายความว่าเหตุการณ์รูปแบบเดียวกันจะไม่เกิดขึ้นอีก ด้วยสถานการณ์ทางการเมืองไทยที่กำลังเข้มขึ้นไปทุกขณะในปัจจุบันนี้ถ้าสังคมไทยยังไม่ยอมรับความต่างอย่างสันติเหตุการณ์หกตุลาอาจหวนคืนมาอีกในเวอร์ชันที่รุนแรงกว่าก็เป็นไปได้ สุดท้ายนี้ผมคงขอร่วมไว้อาลัยให้กับเหยื่อหกตุลารวมไปถึงผู้ถูกปราบปรามและสังหารโดยไร้ความอยุติธรรมทุกท่านและขอเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่สูญเสียคนรัก ผู้เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์หกตุลารวมไปถึงเหตุการณ์รุนแรงอื่นๆและผู้ที่กำลังตกเป็นจำเลยสังคมเพียงเพราะความเห็นต่างทุกท่านครับหวังว่าฝันร้ายเมื่อปี2519คงจะไม่หวนกลับมาหลอกหลอนสังคมไทยอีกคราหนึ่ง


ด้วยจิตคารวะ
Benjamin Franklin
Comment by แมน ประกายไฟ

หลังจากอ่านจบแล้ว ถ้าผมเข้าใจประเด็นไม่ผิด นำเสนอเรื่องการยอมรับความคิดที่แตกต่างแม้ต่อสิ่งตัวเองเคารพสินะครับ

ผมคิดว่าประเด็นที่เสนอค่อนข้างใช้ได้ดีนะครับ แต่ผมคิดว่าไม่ชอบในบางประโยค ซึ่งผมคิดว่าเป็นการตีขลุมมากเกินไป

เช่นประโยคที่ว่า "...ภาพชาวพุทธคนหนึ่งเอาเก้าอี้หวดไปที่ศพร่างหนึ่งอย่างไม่ปราณีปราศัย..." สามารถเคลมได้จริงหรือเปล่าว่าคนในภาพนั้นเป็นคนที่นับถือพุทธจริงๆ?

ok อาจจะกล่าวว่า เพราะการที่สมัยนั้นมีการเสนอ motto "คอมมิวนิสต์ ทำลายชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์" และมีการขยายความต่อว่าศาสนาที่แสดงถึงความเป็นไทยคือ ศาสนาพุทธ หรือการกล่าวว่าศาสนาพุทธเป็นศาสนาประจำชาติก็ตาม แต่สามารถเคลมได้จริงหรือเปล่าว่าคนที่ก่อการในวันนั้นทุกคนเป็นคนพุทธ? เมื่อเช่นนั้นก็พูดยากนะครับว่าคนที่ถือเก้าอี้คนนั้นจะนับถือศาสนาอะไร อาจบางทีเขาอาจจะนับถือศาสนาพุทธจริงๆ แต่ถ้าไม่มีหลักฐานเชิงพอมันก็เคลมลำบากนะครับ

แม้ผมจะเห็นด้วยกับการวิพากษ์การชอบเคลมตัวเองของคนไทยว่าเป็นเมืองพุทธ เป็นชาวพุทธ แต่มิได้กระทำให้พึงสอดคล้องกับสิ่งที่เรียกว่าแนวคิดแบบพุทธก็ตาม แต่นั้นคือภาพแบบมหภาค แต่การกล่าวถึงบุคคลแบบย่อยเช่น การบอกว่าคนที่ถือเก้าอี้คนนั้นเป็นพุทธมันก็มีความจำเป็นที่จะต้องมีหลักฐานเฉพาะตัวกับบุคคลคนนั้นเช่นกันครับ

แถลงการณ์คัดค้านกรณีการจับกุมชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาทวงสิทธิที่หนองแซง

จากพี่น้องชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมจากก๊าซธรรมชาติ ขนาดกำลังการผลิต 1,600 เมกะวัตต์ ที่จะก่อสร้างในพื้นที่ตำบลหนองแซง จังหวัดสระบุรี ได้ชุมนุมปิดถนนสายพหลโยธินตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2552 และได้ยุติการชุมชนในวันที่ 25 กันยายน 2552 เพื่อแสดงตัวตนและสื่อสารต่อสาธารณะของชาวบ้านที่เป็นเหยื่อของการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ

ทั้งนี้จากข่าวที่เราได้รับทราบนั้นการต่อสู้ของชาวบ้านได้กระทำผ่านกลไกและกระบวนการตามขั้นตอนราชการโดยการยื่นหนังสือร้องเรียน คัดค้านต่อหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในทุกระดับในท้องถิ่นถึงหน่วยงานรัฐในระดับนโยบาย ทั้งกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติละสิ่งแวดล้อม กระทรวงพลังงาน คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ วุฒิสภา การเข้าพบและยื่นหนังสือต่อ ฯพณฯ นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่ทำเนียบรัฐบาล แต่คำตอบที่ชาวบ้านได้รับคือการอนุมัติเห็นชอบผ่านรายงาน อี ไอ เอ ของคณะกรรมการผู้ชำนาญการ (คชก.) สำนักงานนโยบายและแผนทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (สผ.) และโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในพื้นที่เดินหน้าอย่างต่อเนื่อง จึงเป็นเหตุที่ทำให้ชาวบ้านผู้คัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติอำเภอหนองแซงต้องชุมนุมปิดถนน เพื่อรียกร้องให้รัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องระดับนโยบายลงเจรจาปรึกษาหารือถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาร่วมกับชาวบ้าน

แต่ผลที่พี่น้องเราได้รับคือผู้ว่าราชการจังหวัดสระบุรีแจ้งความดำเนินคดีข้อหาปิดถนนทางสาธารณะกับแกนนำชาวบ้าน 6 คน คือ นายนพพล น้อยบ้านโง้ง และนายคูณทวี หรือน้อย ซึ่งเป็นแกนนำคัดค้านบ่อกำจัดขยะเบ็ตเตอร์เวิลด์กรีน และนายตี๋ ตรัยรัตนแสงมณี นายสมคิด ดวงแก้ว นางวัชรี เผ่าเหลืองทอง และนายสุปรีดี หรือเปรี้ยง ซึ่งเป็นแกนนำคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง ด้วยพ.ร.บ.ทางหลวง มาตรา 39 และประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 229 โดยอ้างว่าทำให้ปิดทางสาธารณะอันน่าจะทำให้เกิดเหตุอันตราย และปรากฏว่าพี่น้องเราถุกจับกุมขณะกลับบ้านไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า 3 คน คือ นายนพพล น้อยบ้านโง้ง และนายคูณทวี หรือน้อย และนายสุปรีดี หรือเปรี้ยง ไปกักขังโดยไม่ยินยอมให้ประกันตัวอีก ด้วยเหตุนี้เราจึงเห็นว่า

1.การชุมนุมของชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบจากโครงการโรงไฟฟ้านั้นเป็นการชุมนุมตามวิถีทางแห่งประชาธิปไตย เพื่อเรียกร้องสิทธิและแสดงออกซึ่งความเห็นต่อสาธารณะ เป็นการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธอันเป็นเสรีภาพ ที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยพ.ศ.2550 ในมาตราที่ 63 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 ได้รองรับและคุ้มครองไว้

2.การออกหมายจับ ถือเป็นการขัดกับเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญดังที่กล่าวไว้ในข้อ 1 และการออกหมายจับดังกล่าวจึงเท่ากับการยอมรับว่าประเทศไทยไม่ได้ปกครองโดยยึดถือหลักการปกครองโดยกฎหมายเป็นใหญ่ (The Rule of Law) อีกต่อไป เพราะเป็นการยอมให้กฎหมายอาญาและจราจรที่มีฐานะต่ำกว่ารัฐธรรมนูญ มีผลยกเลิกกฎหมายรัฐธรรมนูญไปโดยปริยาย

3.การคัดค้านการประกันตัวนั้น ถือเป็นการกระทำที่ขัดกับหลักมนุษยธรรม และหลักนิติธรรม ซึ่งถุกรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ทั้งฉบับพุทธศักราช 2540 และ 2550 ที่ระบุว่า

มาตรา 26 การใช้อำนาจโดยองค์กรของรัฐทุกองค์กร ต้องคำนึงถึงศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ สิทธิและเสรีภาพ ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้

มาตรา 40 "...บุคคลย่อมมีสิทธิในกระบวนการยุติธรรม...ในคดีอาญา ผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการสอบสวนหรือการพิจารณาคดี ที่ถูกต้อง รวดเร็ว และเป็นธรรม โอกาสในการต่อสู้คดีอย่างเพียงพอ การตรวจสอบหรือได้รับทราบพยานหลักฐานตามสมควร การได้รับความช่วยเหลือในทางคดีจากทนายความ และการได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว..."

รวมถึงขัดกับกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ค.ศ.1966 (International Covenant on Civil and Political Rights)ซึ่งประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก มีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม ในข้อ 14 ข้อย่อยที่ 3 ซึ่งบัญญัติว่า “ในการพิจารณาคดีอาญา บุคคลทุกคนซึ่งต้องหาว่ากระทำผิดย่อมมีสิทธิที่จะได้รับหลักประกันขั้นต่ำดังต่อไปนี้โดยเสมอภาค

(ก) สิทธิที่จะได้รับแจ้งโดยพลันซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับสภาพและเหตุแห่งความผิดที่ถูกกล่าวหา ในภาษาซึ่งบุคคลนั้นเข้าใจได้

(ข) สิทธิที่จะมีเวลา และได้รับความสะดวกเพียงพอแก่การเตรียมการเพื่อต่อสู้คดี และติดต่อกับทนายความที่ตนเลือกได้”

4.การเพิกเฉยของหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ซึ่งรวมถึงนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ต่อการเรียกร้องในสิทธิชุมชนของชาวบ้านที่ได้รับผลกระทบนั้น ถือเป็นการกระทำที่ขัดต่อเจตนารมณ์ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ว่าด้วยเรื่องสิทธิชุมชนใน มาตรา 67 โดยเฉพาะการดำเนินโครงการหรือกิจกรรมที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนอย่างรุนแรงทั้งทางด้านคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ และสุขภาพนั้น จะต้องมีกระบวนการรับฟังความคิดเห็นของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริงก่อน

เราจึงขอเรียกร้องต่อนายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะและผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ว่า

1.ดำเนินการเพื่อขอถอนหมายจับแกนชาวบ้านทั้ง 6 คนในทันที

2.ขอให้ระงับการดำเนินการตามโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมจากก๊าซธรรมชาติ ขนาดกำลังการผลิต 1,600 เมกะวัตต์ ที่จะก่อสร้างในพื้นที่ตำบลหนองแซง จังหวัดสระบุรี เสียก่อน เพื่อเปิดให้เกิดการมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของประชาชนและผู้มีส่วนได้เสียอย่างแท้จริง

3.รัฐต้องทบทวนนโยบายและความเดือดร้อนต่างๆที่มีผลกระทบต่อประชาชนจำนวนมาก โดยเร่งแก้ไขปัญหาอย่างจริงๆจังๆ พร้อมทั้งเปิดโอกาสให้ประชาชนหรือผู้ที่ประสบปัญหาเหล่านั้นเขามามีส่วนร่วมอย่างแท้จริง เพราะการโฆษณาหรือการพูดเพียงอย่างเดียวไม่ได้ช่วยให้ปัญหามันดีขึ้น

สิ่งที่พี่น้องชาวบ้านที่หนองแซงประสบนั้น ไม่ต่างจากพวกเรา แทนที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่จะหันมาแก้ปัญหาอย่างจริงๆจังๆ ตามความต้องการของพวกเขา กลับซ้ำเติมด้วยการออกหมายจับ โดยเฉพาะช่วงนี้มีมากขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่กรณี 3 ผู้นำชุมนุมกรณีเรียกร้องให้รัฐบาลมีการช่วยเหลือเรื่องราคาข้าวนาปรังที่ตกต่ำ ที่เชียงรายถูกที่จำคุก 6 เดือน เมื่อ 23 กรกฎาคม 2552 ต่อด้วยสหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สหภาพแรงงาน อิเล็กทรอนิกส์และแม็คคานิคส์ในเครือ ซึ่งเป็นคนงานบริษัทเอนี่ออน อิเล็กทรอนิกส์(ไทยแลนด์) จำกัด และคนงานบริษัท เวิล์ลเวลล์การ์เม้นท์ที่เดินทางมายื่นข้อเรียกร้องและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรับบาลบริเวณหน้าทำเนียบและรัฐสภา ในวันที่ 27 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งนอกจากได้ได้รับความสนใจจากรัฐบาลแล้วยังถูออกหมายจับ 3 แกนนำ ด้วยข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมืองตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 215 และ 216 เช่นเดียวกับคนขายหวยจากจังหวัดเลยที่มาประท้วงกระทรวงการคลังไม่จัดสรรโควตาสลาก เมื่อวันที่ 23 กันยายน 2552 ที่ผ่านมา และล่าสุดก็กรณีที่พี่น้องชาวบ้านที่หนองแซงประสบ

การกระทำเช่นนี้เป็นการดำเนินการที่ไม่เป็นธรรม มองชาวบ้านและแรงงานที่เดือดร้อนเป็นศัตรูของรัฐบาล กระทำการที่รุนแรงเกินกว่าเหตุ ลิดลอนสิทธิเสรีภาพ สิทธิพลเมืองของประชาชน เป็นการทำลายความเชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรมและได้ปลูกฝังความเกลียดชังรัฐที่ใช้อำนาจทางกฎหมายบีบบังคับชาวบ้านและแรงงานผู้เดือดร้อน ตลอดจนเป็นการกระทำที่สร้างความแตกแยกระหว่างประชาชนกับรัฐให้กว้างออกไปยิ่งขึ้น ด้วยเหตุนี้เราจึงเรียกร้องให้ยุติพฤติกรรมดังกล่าวเสียก่อนที่จะไม่มีโอกาสที่จะได้ยุติ

หยุดมองประชาชนเป็นศัตรู เคารพสิทธิของประชาชน ประชาชนต้องมีส่วนร่วม

บัส ประกายไฟ

วันจันทร์ที่ 19 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แถลงการณ์:รถเมล์4,000คันต้องสร้างเป็นรัฐสวัสดิการ และมีประสิทธิภาพ




โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
19 ตุลาคม 2552

แถลงการณ์ การคมนาคมสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน กรณีรถเมล์NGV 4,000 คันรัฐต้องสร้างเป็นรัฐสวัสดิการ ฟรี ถ้วนหน้า ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ

กลุ่มประกายไฟ
19 ตุลาคม 2552

ในขณะที่เศรษฐกิจของสังคมไทยและสังคมโลกกำลังตกต่ำซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสมอ รวมทั้งปัญหาวิกฤตพลังงานที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ การคมนาคมขนส่งของประเทศโดยเฉพาะรถเมล์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพฯ

รัฐบาลซึ่งควรมีหน้าที่โดยตรงในการให้หลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสิทธิในการคมนาคมสาธารณะแก่ประชาชน แต่ในความเป็นจริงเวลานี้รัฐบาลกำลังพยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายทางการคมนาคม และความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประชาชนจากการประกาศนโยบายเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีนายโสภณ ซารัมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ โดยรัฐบาลอ้างว่าเพื่อเป็นการลดการขาดทุนขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)

การประกาศนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานและผู้มีรายได้น้อยหรือคนจนในสังคมไทย ดังนี้

1.การใช้ระบบตั๋วอิเล็กโทรนิกส์(E-TICKET)นั้น ก่อให้เกิดการเลิกจ้างหรือการเกษียณอายุก่อนกำหนดของพนักงานขสมก. ซึ่งมีจำนวนมากถึง 6,000-7,000 คน เพื่อให้ขสมก.มีกำไรตามที่ลัทธิเสรีนิยมใหม่ต้องการ ซึ่งการเลิกจ้างงานดังกล่าวทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งขาดรายได้ คุณภาพชีวิตแย่ลง อาจลุกลามไปสู่ปัญหาสังคมอื่นๆได้

2.การใช้ระบบตั๋วอิเล็กโทรนิกส์ส่งผลกระทบต่ออัตราค่าโดยสาร ซึ่งจะต้องมีการเรียกเก็บเพิ่มขึ้นจากราคาเดิมเพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนของรัฐบาล และผู้รับภาระอัตราค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้นนั้นคือประชาชนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากนัก รวมทั้งกระทบต่อนโยบายรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน ซึ่งรัฐบาลเคยให้การโปรโมตไว้นั้นมีทีท่าว่าจะต้องยุติลง

3.การลดจำนวนพนักงานเก็บเงินและการนำระบบตั๋วอิเล็กโทรนิค(ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินระหว่างขึ้นรถ)มาใช้อาจก่อให้เกิดการจราจรติดขัดมากขึ้น เนื่องจากความล้าช้าในการต่อคิวเพื่อจ่ายเงินค่าโดยสารผ่านระบบตั๋วอิเล็กโทรนิค ที่อาจทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการจอดรับส่งผู้โดยสารในแต่ละป้าย จากทั้งสามประเด็นที่กล่าวมานั้น เราเห็นว่าประชาชนคนรากหญ้าก็จะต้องรับภาระด้านเศรษฐกิจและการคมนาคมเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของรัฐบาลจึงควรจะมีมาตรการและสวัสดิการรองรับความเดือดร้อนของประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่ต้องรับภาระทางเศรษกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เราจึงเสนอให้

1.ในส่วนของแรงาน ขสมก. ที่จะได้รับผลกระทบนั้น การที่ ขสมก. จะเลิกจ้างหรือให้เกษียรอายุก่อนกำหนดหรือจะใช้มาตรการใดๆจะต้องคำนึงถึงความสมัครใจเป็นสิ่งสำคัญ และควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงภาครัฐต้องมีมาตรการรองรับคุณภาพชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ที่มิใช่เพียงแค่เงินทดแทน(“ชดเชย”)จากภาครัฐเท่านั้น นอกจากนั้นรัฐจะต้องมีนโยบายการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment) การขยายสิทธิประโยชน์ในการประกันรายได้และกาจ้างงานให้ถ้วนหน้าเป็นระบบและครบวงจร ทั้งนี้รวมถึงการรองรับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานที่ต้องออกจากงานก่อนกำหนด

2.การที่รัฐจะออกมาให้ความเห็นว่า “ขสมก ขาดทุนมากกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่ากำลังที่ ขสมก. จะจ่ายได้ จึงเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องนำงบประมาณมาอุดหนุนปีละกว่า 9,000 ล้านบาท”{1} ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบ เพราะการคมนาคมสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ปกติรัฐจะต้องจัดให้เป็นสวัสดิการ ดังนั้นการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่รัฐมองว่าเป็นภาระนั้นแท้จริงแล้วมันคือหน้าที่ที่รัฐต้องจัดหาให้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว การเอาเรื่องผลกำไรมากล่าวอ้างในเรื่องกิจการสาธารณะที่เป็นสวัสดิการซึ่งเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อประชาชนจึงเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการเบียงเบนประเด็นจากความไร้ความสามรถในการบริหารงานของรัฐบาล ดังนั้นแทนที่จะจะยกเลิกรถเมล์ฟรี รัฐบาลจึงควรจัดให้รถเมล์NGVทั้ง4,000 คันนั้นเป็นรถเมล์ฟรีเพื่อเป้นสวัสดิการให้แก่ประชาชนทั้งหมด

3.ควรมีช่องจรจรสำหรับรถโดยสารประจำทางโดยเฉพาะทั้งระบบเพื่อความสะดวกต่อการจราจรสาธารณะซึ่งเป็นการสัญจรของคนส่วนมากในสังคม หรือพัฒนาเป็นรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษหรือบีอาร์ที (BRT) ที่นิยมใช้ในทวีปอเมริกาเหนือแล้ว หรือในบางภูมิภาคเช่นทวีปยุโรป หรือออสเตรเลีย อาจเรียกว่า "บัสเวย์" (Busway) หรือบางแห่งอาจเรียกชื่อเฉพาะสำหรับระบบในแต่ละเมือง เช่น ทรานส์จาการ์ต้า (TransJakarta) เป็นต้น เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของขนส่งสาธารณะ สร้างระบบขนส่งสาธารณะที่รวดเร็ว สะดวกสบายและประหยัด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคหรือผู้ใช้ถนนในอนาคตต่อมา โดยเฉพาะหากทำควบคู่ไปกับมาตรการเชิงโครงสร้างในการขึ้นภาษีรถยนต์ส่วนบุคคลในอัตราก้าวหน้า อันจะนำไปสู่การลดปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งใช้พื้นที่จราจรต่อบุคคลสูงกว่าซึงเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการจรจรติดขัดลงได้ และยังสามารถนำเงินภาษีที่เก็บได้ดังกล่าวมาจัดเป็นสวัสดิการในการเดินทางของประชาชนในรูปของรถเมล์ฟรีที่มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย
*********
เอกสารอ้างอิง{1}เดลินิวส์ . 2552. พรรคภูมิใจไทย:ทำไม? ต้องเช่ารถเมล์ NGV. เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 มิ.ย. 2552

http://thaienews.blogspot.com/2009/10/4000.html

วันอาทิตย์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2552

แถลงการณ์ การคมนาคมสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชน กรณีรถเมล์NGV 4,000 คันรัฐต้องสร้างเป็นรัฐสวัสดิการ ฟรี ถ้วนหน้า ครบวงจรและมีประสิทธิภาพ

กลุ่มประกายไฟ

19 ตุลาคม 2552



ในขณะที่เศรษฐกิจของสังคมไทยและสังคมโลกกำลังตกต่ำซึ่งแสดงให้เห็นว่าวิกฤติเศรษฐกิจเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเสมอ รวมทั้งปัญหาวิกฤตพลังงานที่ยังคงดำเนินอยู่ในขณะนี้ การคมนาคมขนส่งของประเทศโดยเฉพาะรถเมล์เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดของประชาชนผู้มีรายได้น้อยในกรุงเทพ

รัฐบาลซึ่งควรมีหน้าที่โดยตรงในการให้หลักประกันความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสิทธิในการคมนาคมสาธารณะแก่ประชาชน แต่ในความเป็นจริงเวลานี้รัฐบาลกำลังพยายามผลักภาระค่าใช้จ่ายทางการคมนาคมและความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจให้ประชาชนจากการประกาศนโยบายเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ซึ่งมีนายโสภณซารัมภ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการ โดยรัฐบาลอ้างว่าเพื่อเป็นการลดการขาดทุนขององค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ(ขสมก.)

การประกาศนโยบายดังกล่าวได้ส่งผลกระทบต่อผู้ใช้แรงงานและผู้มีรายได้น้อยหรือคนจนในสังคมไทย ดังนี้

1.การใช้ระบบตั๋วอิเล็กโทรนิกส์(E-TICKET)นั้น ก่อให้เกิดการเลิกจ้างหรือการเกษียณอายุก่อนกำหนดของพนักงานขสมก. ซึ่งมีจำนวนมากถึง 6,000-7,000 คน เพื่อให้ขสมก.มีกำไรตามที่ลัทธิเสรีนิยมใหม่ต้องการ ซึ่งการเลิกจ้างงานดังกล่าวทำให้ประชาชนส่วนหนึ่งขาดรายได้ คุณภาพชีวิตแย่ลง อาจลุกลามไปสู่ปัญหาสังคมอื่นๆได้

2.การใช้ระบบตั๋วอิเล็กโทรนิกส์ส่งผลกระทบต่ออัตราค่าโดยสาร ซึ่งจะต้องมีการเรียกเก็บเพิ่มขึ้นจากราคาเดิมเพื่อความคุ้มค่าต่อการลงทุนของรัฐบาล และผู้รับภาระอัตราค่าโดยสารที่เพิ่มขึ้นนั้นคือประชาชนส่วนใหญ่ที่มีรายได้ไม่มากนัก รวมทั้งกระทบต่อนโยบายรถเมล์ฟรีจากภาษีประชาชน ซึ่งรัฐบาลเคยให้การโปรโมตไว้นั้นมีทีท่าว่าจะต้องยุติลง

3.การลดจำนวนพนักงานเก็บเงินและการนำระบบตั๋วอิเล็กโทรนิค(ซึ่งเป็นระบบการชำระเงินระหว่างขึ้นรถ)มาใช้อาจก่อให้เกิดการจราจรติดขัดมากขึ้น เนื่องจากความล้าช้าในการต่อคิวเพื่อจ่ายเงินค่าโดยสารผ่านระบบตั๋วอิเล็กโทรนิค ที่อาจทำให้ต้องใช้เวลานานขึ้นในการจอดรับส่งผู้โดยสารในแต่ละป้าย

จากทั้งสามประเด็นที่กล่าวมานั้น เราเห็นว่าประชาชนคนรากหญ้าก็จะต้องรับภาระด้านเศรษฐกิจและการคมนาคมเพิ่มมากขึ้น

ดังนั้นการเช่ารถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คันของรัฐบาลจึงควรจะมีมาตรการและสวัสดิการรองรับความเดือดร้อนของประชาชนที่มีรายได้น้อยไม่ต้องรับภาระทางเศรษกิจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม เราจึงเสนอให้

1.ในส่วนของแรงาน ขสมก. ที่จะได้รับผลกระทบนั้น การที่ ขสมก. จะเลิกจ้างหรือให้เกษียรอายุก่อนกำหนดหรือจะใช้มาตราการใดๆจะต้องคำนึงถึงความสมัครใจเป็นสิ่งสำคัญ และควรดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไป รวมถึงภาครัฐต้องมีมาตรการรองรับคุณภาพชีวิตของบุคคลเหล่านั้น ที่มิใช่เพียงแค่เงินทดแทน(“ชดเชย”)จากภาครัฐเท่านั้น นอกจากนั้นรัฐจะต้องมีนโยบายการจ้างงานเต็มที่ (Full Employment) การขยายสิทธิประโยชน์ในการประกันรายได้และกาจ้างงานให้ถ้วนหน้าเป็นระบบและครบวงจร ทั้งนี้รวมถึงการรองรับคุณภาพชีวิตของผู้ใช้แรงงานที่ต้องออกจากงานก่อนกำหนด

2.การที่รัฐจะออกมาให้ความเห็นว่า “ขสมก ขาดทุนมากกว่า 6,000 ล้านบาทต่อปี ต้องจ่ายดอกเบี้ยปีละ 3,000 ล้านบาท ซึ่งเกินกว่ากำลังที่ ขสมก. จะจ่ายได้ จึงเป็นภาระของรัฐบาลที่จะต้องนำงบประมาณมาอุดหนุนปีละกว่า 9,000 ล้านบาท”{1} ถือเป็นการปัดความรับผิดชอบ เพราะการคมนาคมสาธารณะเป็นสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนที่ปกติรัฐจะต้องจัดให้เป็นสวัสดิการ ดังนั้นการใช้จ่ายเงินงบประมาณที่รัฐมองว่าเป็นภาระนั้นแท้จริงแล้วมันคือหน้าที่ที่รัฐต้องจัดหาให้เป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว การเอาเรื่องผลกำไรมากล่าวอ้างในเรื่องกิจการสาธารณะที่เป็นสวัสดิการซึ่งเป็นหน้าที่ที่รัฐต้องรับผิดชอบต่อประชาชนจึงเป็นสิ่งที่ผิดและเป็นสิ่งที่สะท้อนถึงการเบียงเบนประเด็นจากความไร้ความสามรถในการบริหารงานของรัฐบาล ดังนั้นแทนที่จะจะยกเลิกรถเมล์ฟรี รัฐบาลจึงควรจัดให้รถเมล์NGVทั้ง4,000 คันนั้นเป็นรถเมล์ฟรีเพื่อเป้นสวัสดิการให้แก่ประชาชนทั้งหมด

3.ควรมีช่องจรจรสำหรับรถโดยสารประจำทางโดยเฉพาะทั้งระบบเพื่อความสะดวกต่อการจราจรสาธารณะซึ่งเป็นการสัญจรของคนส่วนมากในสังคม หรือพัฒนาเป็นรถโดยสารประจำทางด่วนพิเศษหรือบีอาร์ที (BRT) ที่นิยมใช้ในทวีปอเมริกาเหนือแล้ว หรือในบางภูมิภาคเช่นทวีปยุโรป หรือออสเตรเลีย อาจเรียกว่า "บัสเวย์" (Busway) หรือบางแห่งอาจเรียกชื่อเฉพาะสำหรับระบบในแต่ละเมือง เช่น ทรานส์จาการ์ต้า (TransJakarta) เป็นต้น เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพของขนส่งสาธารณะ สร้างระบบขนส่งสาธารณะที่รวดเร็ว สะดวกสบายและประหยัด ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคหรือผู้ใช้ถนนในอนาคตต่อมา โดยเฉพะหากทำควบคู่ไปกับมาตารการเชิงโครงสร้างในการขึ้นภาษีรถยนต์ส่วนบุคคลในอัตราก้าวหน้า อันจะนำไปสู่การลดปริมาณรถยนต์ส่วนบุคคลซึ่งใช้พื้นที่จราจรต่อบุคคลสูงกว่าซึงเป็นสาเหตุสำคัญของปัญหาการจรจรติดขัดลงได้ และยังสามารถนำเงินภาษีที่เก็บได้ดังกล่าวมาจัดเป็นสวัสดิการในการเดินทางของประชาชนในรูปของรถเมล์ฟรีที่มีประสิทธิภาพได้อีกด้วย



เอกสารอ้างอิง

{1}เดลินิวส์ . 2552. พรรคภูมิใจไทย:ทำไม? ต้องเช่ารถเมล์ NGV. เดลินิวส์ ฉบับวันที่ 8 มิ.ย. 2552

รวมข่าวเสวนา: บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ




ประชาไทรายงาน : เสวนา: บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ
Mon, 2009-10-19 02:00




18 ต.ค.52 กลุ่มประกายไฟ จัดเสวนา เรื่อง “บททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ” ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว

ตัวแทนชาวบ้านหนองแซง กล่าวว่า การชุมนุมดังกล่าวเป็นการรวมตัวกันเรียกร้องขอความเป็นธรรมบนท้องถนน และเป็นการเรียกร้องให้ส่วนที่เกี่ยวข้องร่วมหาทางออก เนื่องจากชาวบ้านรู้สึกถึงทางตัน ไม่มีหน่วยงานใดๆ สนใจปัญหาของพวกเขา และยืนยันการชุมนุมดังกล่าวไม่มีแกนนำ หากแต่เป็นความรู้สึกเก็บกดของชาวบ้านในพื้นที่ที่รู้สึกไม่ได้รับความเป็นธรรมจากรัฐด้วย อย่างไรก็ตาม ชาวบ้านหนองแซงยังคงจะต่อสู้ต่อไปตามช่องทางต่างๆ ที่มี เพื่อปกป้องวิถีชีวิตและสิทธิของประชาชนในพื้นที่

ตัวแทนสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กล่าวว่า รู้สึกตกใจกับการออกหมายจับของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เนื่องจากการชุมนุมในวันดังกล่าวเป็นการยื่นหนังสือร้องเรียนต่อรัฐบาลแต่ไม่มีใครออกมารับหนังสือ และอยู่ระหว่างประสานให้มีตัวแทนออกมารับการร้องเรียน บรรยากาศการชุมนุมก็เป็นไปแบบสบายๆ ไม่ได้สร้างแรงกดดันใดๆ

นายอานนท์ นำภา ทนายความจากสำนักกฎหมายมีสิทธิฯ กล่าวว่า ในวันอังคารนี้ (20 ต.ค.) จะยื่นคำร้องขอเพิกถอนหมายจับกรณีแรงงานไทรอัมพ์ แม้ว่าก่อนหน้านี้ศาลจะมีคำสั่งไม่ให้คัดสำเนาหมายจับและคำร้องขอออกหมายจับของพนักงานสอบสวน ซึ่งน่าจะเป็นสิทธิของผู้ถูกกล่าวหาก็ตาม อย่างไรก็ตาม เขาเห็นว่ากระบวนการออกหมายจับของไทยยังมีปัญหาอยู่มาก และจุดมุ่งหมายของการออกหมายจับก็มักมุ่งไปที่การทำให้ประชาชนประสบความยุ่งยากจนไม่สามารถไปเคลื่อนไหวอะไรได้

“ พ.ร.บ.กรชุมนุมสาธารณะที่จะออกมาก็น่าเป็นห่วง ทุกฝ่ายควรจับตาอย่างใกล้ชิด” อานนท์กล่าวและว่าวิธีแก้ปัญหานี้อาจต้องเปลี่ยนวิธีคิดของเจ้าหน้าที่และสังคม ตลอดจนทำให้วิถีการปกครองประเทศเป็นประชาธิปไตยมากกว่านี้

อุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวว่า ยุทธวิถีการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนทุกกลุ่มมักจะดำเนินการผ่านช่องทางต่างๆ ตามปกติมาจนหมดแล้วแต่ก็ยังไม่สามารถส่งเสียงสู่สังคมหรือส่วนที่เกี่ยวข้องให้แก้ปัญหาได้ จึงต้องเคลื่อนไหวโดยพยายามทำให้กลไกต่างๆ ของสังคมหรือรัฐ ไม่สามารถทำงานได้เพื่อดึงความสนใจของส่วนต่างๆ มายังปัญหาของพวกเขา ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ และเป็นความชอบธรรมของชาวบ้าน ผู้ด้อยโอกาสตลอดมา

แต่หลังการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ทำให้เรื่องดังกล่าวมีความซับซ้อนมากขึ้น อย่างไรก็ตาม ข้อแตกต่างสำคัญของกลุ่มประชาชนและขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมืองของพันธมิตรฯ อยู่ที่เป้าหมาย ซึ่งสำหรับประชาชนกลุ่มต่างๆ นั้นไม่ได้มีเป้าหมายที่เป็นปัญหากับระบอบประชาธิปไตย และไม่ได้ทำให้รัฐเป็นรัฐที่ล้มเหลว อีกทั้งการชุมนุมทางการเมืองหลายครั้งก็ไม่ได้ยืนอยู่บนหลักของการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธแต่อย่างใด

“ที่ผ่านมานักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชนต่างๆ ถนัดที่จะด่ารัฐเวลามีการปะทะกัน ซึ่งส่วนหนึ่งก็มีความจริงสอดคล้อง วันนี้มันซับซ้อนมากขึ้น ความรุนแรงไม่จำเป็นต้องมาจากเจ้าหน้าที่รัฐเสมอไป” อุเชนทร์กล่าว

เขากล่าวอีกว่า เมื่อสถานการณ์วันนี้ซับซ้อนมากขึ้นและทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจกลายเริ่มเป็นจำเลยในบางกรณี อีกทั้งเกิดความแตกต่างกันระหว่างการจัดการกับการชุมนุมของฝ่ายต่างๆ จึงเห็นสมควรให้มีกฎหมายเกี่ยวกับการชุมนุมสาธารณะ แต่ไม่ใช่แบบที่รัฐบาลผลักดัน ทำให้ผู้ชุมนุมต้องขออนุญาตก่อนและสร้างเงื่อนไขต่างๆ มากมาย แต่ต้องเป็นกฏหมายที่ปกป้องสิทธิการชุมนุมของประชาชนให้เท่ากันทุกกลุ่ม และกำหนดขอบเขตว่าการชุมนุมที่เกินเลยไปจะไมได้รับการคุ้มครอง เช่น การพกพาอาวุธ และหากจะมีการสลายการชุมนุมก็ต้องมีความโปร่งใส ชัดเจน

“การมีมาตรฐานแบบนี้อาจดีในแง่ที่ว่ามันปกป้องสิทธิการชุมนุมของคุณเท่ากันทุกคน ตั้งแต่องคมนตรีถึงคนเก็บขยะ” อุเชนทร์กล่าว

ทั้งนี้ การเสวนาดังกล่าวจัดขึ้นเนื่องมาจากกรณี 3 ผู้นำที่ชุมนุมที่เชียงรายเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือราคาข้าวนาปรังถูกจำคุก 6 เดือน ไม่รอลงอาญา เมื่อ 23 กรกฎาคม 2552 หลังจากนั้นเพียงเดือนเศษ สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย สหภาพแรงงาน อิเล็กทรอนิกส์และแม็คคานิคส์ในเครือ ซึ่งเป็นคนงานบริษัทเอนี่ออน อิเล็กทรอนิกส์(ไทยแลนด์) จำกัด และคนงานบริษัท เวิล์ลเวลล์การ์เม้นท์ที่เดินทางมายื่นข้อเรียกร้องและติดตามความคืบหน้าในการดำเนินการแก้ไขปัญหาของรับบาลบริเวณหน้าทำเนียบและรัฐสภา ในวันที่ 27 สิงหาคม ถูกสลายการชุมนุมด้วยเครื่องทำลายประสาทหูหรือ LRAD และถูกออกหมายจับ 3 แกนนำ ด้วยข้อหาก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง เช่นเดียวกับคนขายหวยจากจังหวัดเลยที่มาประท้วงกระทรวงการคลังไม่จัดสรรโควตาสลาก เมื่อวันที่ 23 กันยายน ล่าสุด กรณีแกนนำชาวบ้านหนองแซง จังหวัดสระบุรี 6 คนถูกแจ้งความดำเนินคดีข้อหาปิดถนนทางสาธารณะ ภายหลังการชุมนุมบนถนนสายพหลโยธินตั้งแต่วันที่ 24 กันยายน 2552 และได้ยุติการชุมชนในวันที่ 25 กันยายน 2552 เพื่อแสดงตัวตนและสื่อสารต่อสาธารณะของชาวบ้านที่เป็นเหยื่อของการพัฒนาที่ไม่เป็นธรรมและขาดการมีส่วนร่วมของประชาชนผู้เป็นเจ้าของทรัพยากรธรรมชาติ

ที่มา ประชาไท


สำนักข่าวไทยรายงาน :เอ็นจีโอ หนุน พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ

ราชดำเนิน 18 ต.ค. - เอ็นจีโอ หนุน พ.ร.บ.ชุมนุมในที่สาธารณะ ชี้คือทางออกชุมนุมอย่างไรไม่ถูกจับ เผยปัญหา เจ้าหน้าที่ปฏิบัติ 2 มาตรฐาน ชาวบ้าน-คนงานปิดถนน เรียกร้องสิทธิถูกจับติดคุก ขณะที่การชุมนุมทางการเมืองทำได้

ในงานเสวนาเรื่องบททดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ จัดโดยกลุ่มประกายไฟ ที่อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาฯ นางปฐมมน กัลหา ตัวแทนกลุ่มคัดค้านการก่อสร้างโรงไฟฟ้าหนองแซง กล่าวว่าการชุมนุมของชาวบ้านที่ผ่านมา ไม่ได้ต้องการปิดถนนให้ผู้อื่นเดือดร้อน แต่เป็นการแสดงออก เพื่อขอความเป็นธรรมบนท้องถนน หลังจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่สามารถให้ความเป็นธรรมได้ แต่ผลที่ได้รับทำให้ชาวบ้าน 6 คนถูกออกหมายจับ ซ้ำแกนนำ 3 คนที่ถูกจับกุม กลับไม่ได้รับการประกันตัวในตอนแรก สะท้อนการใช้อำนาจของรัฐที่เลือกปฏิบัติ เพราะผู้ต้องหาฆ่าคนตายยังได้รับการประกันตัว แต่พวกตนต่อสู้เรียกร้องเพื่อวิถีเกษตรกรรมดั้งเดิม กลับถูกจับเข้าคุก

ด้าน น.ส.บุญรอด สายวงศ์ เลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กล่าวว่า กรณีของคนงานไทรอัมพ์ ชุมนุมเรียกร้อง เพราะถูกเลิกจ้างเกือบ 2,000 คน เมื่อมาทวงถามความคืบหน้าที่หน้าทำเนียบรัฐบาลและรัฐสภาหลังจากยื่นข้อเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีและกระทรวงแรงงานช่วยเหลือไปแล้วเกือบ 20 วันกลับถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้เครื่องขยายเสียงความถี่สูง หรือ แอลแรด เปิดใส่ทำให้คนงานได้รับบาดเจ็บ หูชั้นกลางอักเสบนับ 10 คน จากนั้นแกนนำยังถูกออกหมายจับ อีก 3 คน นับเป็นเรื่องที่ไม่เป็นธรรม เพราะการชุมนุมเรีกร้องเพื่อปากท้องของตนกลับได้รับการปฏิบัติอย่างรุนแรงจากเจ้าหน้าที่

นายอุเชน เชียงเสน นักเคลื่อนไหวเพื่อสิทธิมนุษยชนและการรวมตัวของชาวบ้าน กล่าวว่าทั้ง 2 กรณีที่เกิดขึ้นกับชาวบ้าน รวมไปถึงกรณีอื่นๆ เช่น ม็อบชาวนาที่จังหวัดเชียงราย ที่ล่าสุดถูกศาลสั่งจำคุก 6 เดือนโดยไม่รอลงอาญา ทำให้สังคมต้องกลับตั้งคำถามว่า การใช้สิทธิชุมนุมอย่างสงบตามรัฐธรรมนูญ ยังสามารถทำได้อยู่หรือไม่ เพราะปัญหาเกิดขึ้นเมื่อนำไปเทียบกับการชุมนุมทางการเมือง ที่ผ่านมา ที่มีการยึดสนามบิน กลับไม่ถูกจับกุมและคดีเป็นไปอย่างล่าช้า ดังนั้น ตนอยากสนับสนุนให้มี พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะเพื่อให้การชุมนุมนับจากนี้เกิดความชัดเจน.

ที่มา สำนักข่าวไทย อัพเดตเมื่อ 2009-10-18 16:28:40 http://news.mcot.net/social/inside.php?value=bmlkPTEyMDk3NCZudHlwZT10ZXh0

ASTVผู้จัดการออนไลน์รายงาน : เครือข่ายภาค ปชช.จัดเสวนาเรียกร้องการรวมตัวต่อสู้อำนาจรัฐ

เครือข่ายภาคประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากสิทธิการชุมนุมทางกฎหมาย เรียกร้องให้เกิดการรวมตัวเพื่อต่อสู้กับอำนาจรัฐที่ไม่เห็นความสำคัญของประชาชน ส่วนหนึ่งของการเสวนาแบบทดสอบภาคประชาชน เมื่อสิทธิการชุมนุมถูกปราบโดยรัฐ

น.ส.ปฐมมล กันหา ตัวแทนกลุ่มคัดค้านโครงการโรงไฟฟ้าหนองแซง จ.สระบุรี กล่าวว่า ชาวบ้านที่ลุกขึ้นมาต่อสู้เพื่อผลประโยชน์ของส่วนรวม กำลังถูกภาครัฐจับกุมและฟ้องร้องแกนนำแต่ละคน และมีคดีติดตัวอย่างน้อยคนละ 3-5 คดี โดยอ้างว่าการปิดเส้นทางสาธารณะอาจทำให้เกิดอันตรายได้ วิธีการหรือกฎหมายที่รัฐบาลใช้กับชาวบ้าน เป็นคนละมาตรฐานที่ใช้กับนายทุน

เช่นเดียวกับกรณีของแรงงานไทรอัมพ์ อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ที่ถูกเลิกจ้างอย่างไม่เป็นธรรม หลังจากไปยื่นข้อเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยแก้ไขปัญหา ถูกทำการสลายการชุมนุมด้วยเครื่องทำลายประสาทหู และถูกตำรวจออกหมายแกนนำ 3 คน ในข้อหาก่อความวุ่นวายให้บ้านเมือง

น.ส.จิตรา คชเดช ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ เปิดเผยว่า ความรุนแรงที่เกิดขึ้นล้วนมาจากรัฐบาลทั้งสิ้น ไม่สามารถเป็นที่พึ่งให้กับประชาชน ดังนั้นผู้ที่เดือดร้อนควรจะรวมตัวกันต่อรองกับอำนาจรัฐ หรือเข้าสู่การใช้อำนาจรัฐ

ที่มา http://www.manager.co.th/Home/ViewNews.aspx?NewsID=9520000123930

ล่าชื่อร่อนแถลงการณ์ อย่าใช้ความรุนแรงกับม็อบเสื้อแดง สะกิดเอ็นจีโอ นักวิชาการ อย่า 2 มาตรฐาน

Sat, 2009-10-17 00:26

องค์กรนักศึกษานำโดย สนนท. นักวิชาการ นักกิจกรรมสังคม นักสหภาพแรงงาน องค์กรภาคประชาชน ร่วมกันออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ทุกฝ่ายไม่ใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุม นปช.เสื้อแดง ในการจัดชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาลวันที่ 17ตุลาคมนี้ จี้รัฐบาล สื่อ เอ็นจีโอ-องค์กรสิทธิ-นักวิชาการ อย่า 2 มาตรฐานกับม็อบ

ทั้งนี้กลุ่มประชาชนที่ร่วมกันออกแถลงการณ์ ยังได้เผยว่า ได้ทำสำเนาเชิญชวนการลงนามไปยังบุคคล กลุ่ม และองค์กรที่เคยสนับสนุนการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนด้วยแล้ว ซึ่งอยู่ระหว่างการติดตามว่าจะมีการร่วมลงนามในครั้งนี้ด้วยหรือไม่

สำหรับรายละเอียดของแถลงการณ์มีดังต่อไปนี้



แถลงการณ์
ขอเรียกร้องไม่ให้ใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม


ตามที่แนวร่วมต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดงจะจัดการชุมนุมขึ้นในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ซึ่งรัฐบาลได้ประกาศใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ เพื่อควบคุมการชุมนุม และมีแนวโน้มที่อาจเกิดความรุนแรงได้นั้น พวกเรา ซึ่งมีรายนามดังแนบท้ายแถลงการณ์นี้ ขอเรียกร้องมายังทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

1.รัฐบาล กองทัพ ตำรวจ และชนชั้นนำ ไม่ควรเลือกปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน โดยสมควรต้องยกเลิกการประกาศ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ และให้ประชาชนทุกฝ่ายสามารถจัดการการชุมนุมได้โดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ เว้นแต่จะเกิดเหตุความไม่สงบขึ้น จึงสมควรจะประกาศบังคับใช้ พ.ร.บ.ความมั่นคงฯ ทั้งนี้ต้องไม่ให้กองกำลังทหาร ซึ่งไม่ได้ฝึกฝนมาควบคุมฝูงชนเข้าทำหน้าที่ควบคุมฝูงชน และสมควรต้องเร่งผลักดันกฎหมายการชุมนุมสาธารณะออกมาบังคับใช้เพื่อควบคุมการชุมนุมเป็นไปตามมาตรฐานสากลโดยเร็ว

2.ผู้รับผิดชอบการจัดการชุมนุม โดยเฉพาะแกนนำ นปช. ต้องควบคุมจัดการการชุมนุมให้เป็นไปโดยสงบ ปราศจากอาวุธ ตามรัฐธรรมนูญ ไม่ยั่วยุให้ก่อความรุนแรง หรือยึดสถานที่ราชการแบบที่กลุ่มพันธมิตรเคยปฏิบัติ แม้การกระทำเช่นนั้น จะยังไม่ถูกดำเนินคดีถึงขั้นจำคุกตามกฎหมายก็ตาม หากเกิดความรุนแรงใดๆ จากการที่ไม่สามารถควบคุมการชุมนุมได้ หรือนำไปสู่ความรุนแรง ย่อมเป็นความรับผิดชอบของแกนนำ หรือผู้จัดการชุมนุมอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ส่วนผู้ชุมนุมพึงใช้สิทธิตามกฎหมาย หลีกเลี่ยงการยั่วยุให้เกิดความรุนแรงใดๆ

3.สื่อมวลชน ต้องนำเสนอข่าวการชุมนุมด้วยความเป็นกลาง ปราศจากอคติใดๆ หรือชี้นำให้เกิดความรุนแรง หลีกเลี่ยงการยั่วยุใดๆ เหมือนที่เคยปฏิบัติมาในช่วงเหตุการณ์ชุมนุมเมื่อตอนสงกรานต์ที่ผ่านมา

4.นักสิทธิมนุษยชน นักวิชาการ และองค์การพัฒนาภาคเอกชน ทั้งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และองค์กรสิทธิมนุษยชน ภาคเอกชน และนักวิชาการ สมควรต้องออกมาแสดงบทบาทเหมือนกับที่เคยออกมาสนับสนุนให้พันธมิตรจัดการชุมนุม ‘โดยสันติวิธี’ ทุกครั้ง ทุกโอกาส และสมควรต้องออกมาเรียกร้องไม่ให้รัฐใช้ความรุนแรงแบบเดียวกับที่เคยปฏิบัติมา หากเพิกเฉยย่อมแปลความเป็นอย่างอื่นมิได้ นอกจากเป็นการยอมรับว่า ปฏิบัติเป็น 2 มาตรฐาน ให้ท้ายพันมิตร แต่เพิกเฉยหรือซ้ำเติมต่อ นปช. เหมือนครั้งเหตุการณ์เมื่อวันสงกรานต์ ที่เคยออกแถลงการณ์สนับสนุนให้รัฐบาลปราบปราม นปช.มาแล้ว ซึ่งเป็นพฤติการณ์ที่น่าอับอาย

5.นักกิจกรรมสังคมที่ต้องการสันติ เช่น กลุ่มริบบิ้นขาว สถาบันพระปกเกล้าฯ กลุ่มรณรงค์หยุดทำร้ายประเทศไทย ที่เคยออกมารณรงค์ให้ "ทุกฝ่าย" ไม่ใช้ความรุนแรงต่อกัน ขณะนี้ได้เวลาที่ต้องออกมาแสดงบทบาทแล้ว หากเพิกเฉยก็อาจเข้าข่ายเลือกปฏิบัติ 2 มาตรฐาน

6.ประชาชน พึงทราบและตระหนักว่า การจัดการชุมนุมทางการเมืองโดยสงบ ปราศจากอาวุธ เป็นสิทธิตามรัฐธรรมนูญ และความขัดแย้งทางการเมือง ถือเป็นเรื่องปกติในระบอบประชาธิปไตย และจะทำให้ประชาธิปไตยพัฒนาก้าวหน้า พึงเข้าใจว่า คนที่มาร่วมการชุมนุมทางการเมืองนั้น ส่วนมากเป็นคนที่กระตือรือร้นต่อการพัฒนาชาติบ้านเมือง เป็นคนที่มีครอบครัว มีเลือดเนื้อ มีจิตใจเช่นเดียวกับคนไทยทั่วไป ไม่ได้เป็น ‘อื่น’ ประชาชนจึงสมควรจะสนับสนุนกิจกรรมการชุมนุมตามระบอบประชาธิปไตย ตราบเท่าที่ไม่ละเมิดกฎหมาย และละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น

ด้วยความเชื่อมั่น
17 ตุลาคม 2552



องค์กรและบุคคลที่ร่วมลงนาม

อนุธีร์ เดชเทวพร เลขาธิการ สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
พงษ์สุวรรณ สิทธิเสนา สถาบันเพื่อการพัฒนาเยาวชนประชาธิปไตย มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ยุทธนา ดาศรี เลขาธิการนิสิตนักศึกษาภาคอีสาน มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
นฤมล มีสมบัติ กรรมการบริหาร สนนท. ( ม.รามคำแหง )
อัมรีย์ เด กรรมการบริหาร สนนท. (ม.กรุงเทพธนบุรี)
ฉัตรสุดา หาญบาง กรรมการบริหาร สนนท.( มรฏ.สวนดุสิต)
ยุทธนา ภักดีหาญ กลุ่มยอป่า มหาวิทยาลัยขอนแก่น
วิศรุต บุญยา เครือข่ายนักศีกษาพิทักษ์ประชาชน รามคำแหง
วิภา ดาวมณี กรรมการเครือข่ายเดือนตุลา
ไพโรจน์ จันทรนิมิ ประธานชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย
พิษณุ ไชยมงคล ผู้อำนวยการ สำนักเรียนรู้การกระจายอำนาจและปกครองตนเอง
วัฒนะ วรรณ องค์กรเลี้ยวซ้าย
เทวฤทธิ์ มณีฉาย สมาชิกกลุ่มประกายไฟ
สุชาติ เศรษฐมาลินี สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ
สมศักดิ์ ภักดิเดช กรรมการชมรมนักข่าวเพื่อเสรีภาพไทย
สิทธิ์ จันทาเทศ สหภาพแรงงานกรุงเทพผลิตเหล็ก
บุญผิน สุนทราลักษ์ สหภาพแรงงานกรุงเทพผลิตเหล็ก
นายสัณหณัฐ นกเล็ก องค์กรเสรีปัญญาชน
พรมมา ภูมิพันธ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์
หนังแห่งประเทศไทย (ส.พ.ท.)
สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ หนังแห่งประเทศไทย (ส.พ.ท.)
สหภาพแรงงานไทยอคริลิคไฟเบอร์
สหภาพแรงานสหกิจวิศาล
พฤกษ์ เถาถวิล คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
สลิสา ยุกตะนันทน์ นักศึกษาปริญญาโท University of Warwick
ภัควดี วีระภาสพงษ์
ชำนาญ จันทร์เรือง
ใจ อึ๊งภากรณ์
จิรวัฒน์ เทียนเงิน
เขมนิจ เสนาจักร
ครรชิต พัฒนโภคะ องค์กรเลี้ยวซ้าย
ภัทรพล เสนาจักร
บุหงา เสนาจักร
ปรินดา วานิชสันต์
จักรภพ เพ็ญแข
นุชรินทร์ ต่วนเวช
สุณี ครองพิพัฒน์สุข
อาทร ทศพหล
น.ส.วัลภา ทันตานนท์
สุรีย์ มิ่งวรรณลักษณ์
วิทยา อาภรณ์
ประสาท ศรีเกิด
พิชิต พิทักษ์
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ
วิโรจน์ ดุลยโสภณ
เจษฎา โชติกิจภิวาทย์
อาณัติ สุทธิเสมอ
ศรายุทธ ตั้งประเสริฐ
Tanaporn Tornros
รุ่งโรจน์ วรรณศูทร
ยรรยง ลูกชาวดิน กลุ่มชาวดิน ออนเน็ต
คณิตศาสตร์ สารบุญมา
อรรคพล สาตุ้ม
วิทยา เล้าประเสริฐ
ทิพย์สุดา เณรทอง
ชัยอนันต์ ทินกูล
นางสาวจินตภัทร์ แถมพูลสวัสดิ์
นางสาวทารินี ทรงเกียรติธนา
เดโช กำลังเกื้อ
นพดล ทิพยชล
พศิน สุนทราธนกุล
กานต์ ทัศนภักดิ์
ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์
ธีระพล อันมัย อาจารย์คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ผศดร.ศิรภัสสรศ์ วงศ์ทองดี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ
เอกรินทร์ ต่วนศิริ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
นาง ธนพร ทรอนโรส
อรรถชัย อนันตเมฆ


ในตอนท้ายแถลงการณ์ ยังได้เชิญชวนร่วมกันเผยแพร่แถลงการณ์ไปยังมิตรสหาย และร่วมกันลงนาม โดยระบุที่อยู่ส่งกลับที่ อีเมล์ redseed1@gmail.com ภายในเวลา 08.00 น.วันเสาร์ที่ 17 ต.ค.นี้

ร้องถอนหมายจับผู้นำสหภาพแรงงาน- กก.สิทธิ ตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของ ตร.

Sat, 2009-09-05 11:19







(4 ก.ย.) เมื่อเวลา 16.00น. ที่คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ มีการแถลงข่าวประณามการออกหมายจับแกนนำสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ เป็นผู้อ่านแถลงการณ์ซึ่งร่วมลงชื่อโดยองค์กร ประชาชน นักกิจกรรมทางสังคม นักวิชาการ กว่า 150 คน เรียกร้องให้ถอนการออกหมายจับที่ไม่เป็นธรรมกับผู้นำสหภาพแรงงาน โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่มีการจับกุมตามหมายจับ และดำเนินเพื่อร้องขอกับศาลให้มีการถอนหมายจับโดยทันที

นอกจากนี้ แถลงการณ์ยังเรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสหภาพ ที่ได้ยื่นให้รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองโดยเร็วที่สุด และเรียกร้องให้รัฐบาล และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำโดย พล.ต.ต วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยทางตำรวจได้เปิดเครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังมาก ได้รับผลกระทบต่อคนงานผู้หญิง คนงานพิการ และอายุมากที่ได้นั่งฟังปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ตัวแทนของสหภาพกำลังเข้าไปยื่นหนังสือกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ประจำรัฐสภา และการขอออกหมายจับผู้นำสหภาพ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า เป็นการละเมิดสิทธิทางพลเมืองและทางการเมือง รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

ธัญยธรณ์ คีรีถาวรพัฒน์ รองประธานสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กล่าวว่า หลังกลับจากการชุมนุมที่หน้ารัฐสภา คนงานหลายคนมีอาการปวดหู ปวดศีรษะ และคลื่นไส้ บางรายมีอาการปวดเบ้าตา โดยบางคน แพทย์วินิจฉัยว่า หูชั้นกลางอักเสบ หลายคนมีอาการข้างเคียงคือ พูดกันไม่ค่อยเข้าใจ เนื่องจากสมองเบลอ ซึ่งอาการเหล่านี้คือผลกระทบจากการที่ตำรวจใช้เครื่องขยายเสียง

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการแถลงข่าวมีการนำใบรับรองแพทย์ของคนงานซึ่งได้รับผลกระทบจากการใช้เครื่องขยายเสียงระดับไกลหรือ LRAD มาแสดงด้วย





ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 (ผบก.น.1) ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าวไทยพีบีเอสว่า ตำรวจเพียงแต่เปิดลำโพงเพื่อประกาศเตือนการปิดถนนหน้ารัฐสภาที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน ไม่ได้มีเจตนาจะสลายการชุมนุม พร้อมทั้งระบุด้วยว่าขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการออกหมายจับคนงานเพิ่ม

000000


ประณามการออกหมายจับแกนนำสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ และการละเมิดสิทธิมนุษยชน โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจ

พวกเรา องค์กร และบุคคลข้างล่าง ขอประณามการออกหมายจับ นายสุนทร บุญยอด น.ส.บุญรอด สายวงศ์ (เลขาธิการสหภาพแรงงานไทรอัมพ์) และ น.ส.จิตรา คชเดช (ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์) โดยสถานีตำรวจนครบาลเขตดุสิต ต่อการใช้สิทธิการชุมนุมอย่างสันติ ในวันพฤหัสที่ 27 สิงหาคม 2552 ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการชุมนุมอย่างสันติ โดยคนงานผู้หญิง ที่รวมถึงคนงานที่ท้อง และพิการ จำนวน 1,000 คน ที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง
โดยทาง พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ได้ให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวไอเอ็นเอ็นว่า การชุมนุมอย่างสันตินี้ เข้าข่าย การมั่วสุมกันตั้งแต่สิบคนขึ้นไป กระทำการอย่างหนึ่งอย่างใดหนึ่งให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ตามมาตรา 215 และมาตรา 216 ที่มีโทษหนักถึงจำคุกเป็นระยะเวลา 3 ปี

ทางพวกเรามีความเห็น ดังนี้:

1. การออกหมายจับครั้งนี้ เป็นการกระทำที่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของประชาชน และเป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ (excessive uses of force) เนื่องจากสิทธิการชุมนุมอย่างสันติ ที่สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ กระทำเพื่อเรียกร้องให้มีการออกมารับหนังสือโดย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นสิทธิเสรีภาพที่ได้รับความคุ้มครอง ภายใต้รัฐธรรมนูญ และกติการะหว่างประเทศ ว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ที่ประเทศไทยเป็นสมาชิกภาคี

2. การชุมนุมที่เกิดขึ้น เป็นการใช้สิทธิเสรีภาพในการชุมนุมที่มีความชอบธรรม เนื่องจากเป็นการชุมนุมของคนงานที่ได้รับผลกระทบจากการถูกเลิกจ้าง จำนวน 1,959 คน และเป็นการชุมนุมที่สืบเนื่องมาจาก การยื่นหนังสือต่อรองเลขาธิการฝ่ายการเมือง ประจำทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 6 สิงหาคม 2552 เพื่อติดตามว่า รัฐบาลได้ดำเนินการอย่างไรไปแล้วบ้าง

3. การให้สัมภาษณ์ของ พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ในหนังสือพิมพ์ไอเอ็นเอ็น ไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง ในสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจริงแต่อย่างใด เนื่องจากการชุมนุมของสหภาพแรงงานฯ ทั้งหน้าทำเนียบรัฐบาล และรัฐสภา นั้น ได้เป็นไปตามกรอบสิทธิเสรีภาพในการชุมนุมอย่างสันติ ตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศได้รับรองไว้ และไม่ได้มีการปิดถนนหน้าทำเนียบรัฐบาล ตามที่พล.ต.ท.วรพงษ์ได้กล่าวอ้างแต่อย่างใด แต่การที่ถนนหน้ารัฐสภาปิดเกิดขึ้น เนื่องจากการไร้ความรับผิดชอบโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการอำนวยความสะดวก ทำให้มีรถวิ่งสวนกับผู้ชุมนุมมากมาย และไม่ได้มีการปิดรัฐสภาแต่อย่างใด โดยรถยนต์และสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรก็สามารถเข้าออกได้อย่างไม่มีปัญหา

4.การตอบโต้การชุมนุมครั้งนี้ โดย พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ ในการนำเครื่องขยายเสียงระดับไกล (LRAD: Long Range Acoustic Device) ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้โดยทหารสหรัฐในสงครามอิรัก มาเปิดช่วงที่คนงานหญิงได้ชุมนุมกันอย่างสันติ และในช่วงที่กำลังประสานงานกับ นายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน เข้ามารับหนังสือ ถือเป็นการกระทำที่ประสงค์จะให้มีการสลายการชุมนุม อันเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนโดยตรง เนื่องจากได้สร้างความเจ็บปวดในระบบหูให้กับคนงานจำนวนมาก โดยเฉพาะคนงานที่มีอายุมาก ซึ่งองค์กรสิทธิมนุษยชนในต่างประเทศได้ให้ความเห็นว่า เครื่องขยายเสียงนี้สามารถทำลายระบบหู จนทำให้ไม่ได้ยินไปตลอดชีวิตได้ หากมีการเปิดในระยะใกล้กับผู้ชุมนุม ซึ่งในกรณีนี้มีการเปิดใกล้กับผู้ชุมนุมมาก (ห่างจากผู้ชุมนุมในระยะ 1-2 เมตรเท่านั้น) อีกทั้ง การดำเนินการดังกล่าวไม่มีเหตุใดๆที่จะนำเครื่องขยายเสียงมาดำเนินการแต่อย่างใดมาใช้ เนื่องจากดังที่กล่าวแล้วข้างต้นว่า ผู้ชุมนุมได้ชุมนุมกันอย่างสันติโดยชอบด้วยกฎหมาย เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงไม่มีอำนาจใดๆดำเนินการเพื่อให้มีการสลายการชุมนุม

สืบเนื่องจากความเห็นของพวกเรา เราจึงมีข้อเรียกร้อง ดังนี้:

1.เราขอเรียกร้องให้ถอนการออกหมายจับที่ไม่เป็นธรรม กับผู้นำสหภาพแรงงาน โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไข โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจต้องไม่มีการจับกุมตามหมายจับ และดำเนินเพื่อร้องขอกับศาลให้มีการถอนหมายจับโดยทันที
2. เรียกร้องให้รัฐบาลดำเนินการตามข้อเรียกร้องของสหภาพ ที่ได้ยื่นให้รองเลขาธิการฝ่ายการเมืองโดยเร็วที่สุด
3. เราขอเรียกร้องให้รัฐบาล และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ดำเนินการตรวจสอบการละเมิดสิทธิมนุษยชน นำโดย พล.ต.ต วิชัย สังข์ประไพ ผู้บังคับการตำรวจนครบาล 1 โดยทางตำรวจได้เปิดเครื่องขยายเสียงที่มีเสียงดังมาก ได้รับผลกระทบต่อคนงานผู้หญิง คนงานพิการ และอายุมากที่ได้นั่งฟังปราศรัยหน้าทำเนียบรัฐบาล ขณะที่ตัวแทนของสหภาพกำลังเข้าไปยื่นหนังสือกับนายวิทยา บุรณศิริ ประธานวิปฝ่ายค้าน ประจำรัฐสภา และการขอออกหมายจับผู้นำสหภาพ โดย พล.ต.ท.วรพงษ์ ชิวปรีชา ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ว่า เป็นการละเมิดสิทธิทางพลเมืองและทางการเมือง รวมถึงสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม

31 สิงหาคม 2552

สมัชชาคนจน
คณะกรรมการรณรงค์เพื่อสิทธิมนุษยชน(ครส.)
มูลนิธิเพื่อสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา (มสพ.)
มูลนิธิศักยภาพชุมชน
สหภาพแรงงานไทยอินดัสเตรียลแก๊ส
สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้า และผลิตภัณฑ์ แห่งประเทศไทย
สหภาพแรงงานไทยอคริลิคไฟเบอร์
กลุ่มผู้ใช้แรงานสระบุรีและใกล้เคียง
สหภาพแรงงานสหกิจวิศาล
สหภาพแรงงานชินาโนเคนชิ ประเทศไทย
สหภาพแรงงานแฟชั่นเอ็กซ์เพรส
สหภาพแรงงานไทยเปอร์อ๊อกไซด์
สหภาพแรงงานอดิตยาเบอร์ล่าเคมีคัลส์ซัลไฟล์สดิวิชั่น ประเทศไทย
ศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย(YPD)
กลุ่มประกายไฟ
กลุ่มรองเท้าแตะ
กลุ่มประสานงานกรรมกร
กลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ

เกษียร เตชะพีระ คณะรัฐศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์
สุณัย ผาสุข นักสิทธิมนุษยชน
รศ.กฤตยา อาชวนิจกุล สถาบันวิจัยประชากรและสังคม ม.มหิดล
อังคณา นีละไพจิตร ผู้เขียนรายงานประเทศตามกติกาสากลว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองฉบับที่สอง
พันโท แพทย์หญิง กมลพรรณ ชีวพันธ์ศรี นายกสมาคมเครือข่ายผู้ปกครองแห่งชาติ/ประธานเครือข่ายพ่อแม่เยาวชนเพื่อการปฏิรูปการศึกษา/สมาชิกสภาพัฒนาการเมือง
นายชาตวิทย์ มงคลแสน นายกสมาคมพัฒนาผู้บริโภคไทย
นายบุญยืน สุขใหม่ ประธานสหภาพแรงงานผู้บังคับบัญชาไอทีเอฟ
พรมมา ภูมิพันธ์ ฝ่ายประชาสัมพันธ์ สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ
นที สรวารี นายกสมาคมสร้างสรรค์กิจกรรมอิสรชน
พวงทอง ภวัครพันธุ์ รัฐศาสตร์ จุฬา
พิชญ์ พงษ์สวัสดิ์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
เบญจรัตน์ แซ่ฉั่ว ศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษาและการพัฒนาสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล
ศรีประภา เพชรมีศรี อาจารย์ประจำศูนย์สิทธิมนุษยชนศึกษา ม.มหิดล
วัชรพล ศุภจักรวัฒนา อาจารย์ประจำสาขารัฐศาสตร์เเละรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ ม.นเรศวร
ปาณัสม์ชฎา ธนภาคิน อาจารย์ประจำคณะบริหารรัฐกิจ ม.ฟาร์อีสเทิร์น
บัณฑิต จันทร์โรจนกิจ บรรณาธิการนิตยสารวิภาษาและอาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
Nivedita Menon School of International Studies Jawaharlal Nehru University
ภัควดี วีระภาสพงษ์ ประชาชน
ส.รัตนมณี พลกล้า ทนายความ
สมบัติ บุญงามอนงค์ มูลนิธิกระจกเงา
วิภา ดาวมณี กรรมการเครือข่ายเดือนตุลา
ศิโรตน์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการอิสระทางด้านรัฐศาสตร์
สุภิญญา กลางณรงค์ เครือข่ายพลเมืองเน็ต (Thai Netizen Network)
สุชาติ เศรษฐมาลินี สถาบันศาสนา วัฒนธรรมและสันติภาพ มหาวิทยาลัยพายัพ
บุษยรัตน์ กาญจนดิษฐ์ ฝ่ายวิชาการ คณะกรรมการสมานฉันท์แรงงานไทย
เจษฎา โชติกิจภิวาทย์ ผู้ประสานงานกลุ่มประชาธิปไตยเพื่อรัฐสวัสดิการ
สงกรานต์ ป้องบุญจันทร์ เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ปกป้อง เลาวัณย์ศิริ นักกิจกรรมทางสิทธิมนุษยชน
ชัยธวัช ตุลาฑล นักกิจกรรมทางสังคม
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ นักกิจกรรมทางสังคม
กานต์ ยืนยง นักกิจกรรมทางสังคม
พิภพ อุดมอิทธิพงศ์ นักแปลอิสระ
พรเพ็ญ คงขจรเกียรติ โครงการเข้าถึงความยุติธรรมและการคุ้มครองทางกฎหมาย มูลนิธิผสานวัฒนธรรม
ประดิษฐา ปริยแก้วฟ้า เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
จารุวัฒน์ เกยูรวรรณ โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย
พวงชมพู รามเมือง มูลนิธิกองทุนไทย
อับดุลเลาะห์ หะยีอาบู คณะทำงานด้านสิทธิมนุษยชนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้
เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ สำนักงานกฎหมายสิทธิชน
พิชิต พิทักษ์ กลุ่มสร้างสรรค์ชืวิตและธรรมชาติ อีสาน
พิษณุ ไชยมงคล สำนักเรียนรู้เพื่อประชาธิปไตยท้องถิ่น (สปท.)
นายประสาท ศรีเกิด สถาบันเสื้อแดงเพื่อประชาธิปไตย
นายอาณัติ สุทธิเสมอ ชมรมส่งเสริมการเรียนรู้ ภาคเหนือตอนล่าง
นายรณณรงค์ แก้วเพ็ชร์ YPD/ตัวแทนจากองค์กรนักศึกษา ม.รังสิต
ชาญณรงค์ วงค์วิชัย นักกิจกรรมรณรงค์ทางสังคมด้านเอชไอวี/เอดส์
ว่าที่ ร.อ.ภาดร ผลาพิบูลย์ สมาคมรัฐธรรมนูญเพื่อประชาธิปไตย
นางกสิณา สริจันทร์ สถาบันอิสานภิวัตน์
ขวัญรวี วังอุดม นักศึกษาปริญญาโท คณะสิทธิมนุษยชนและการพัฒนา สถาบันสังคมศึกษา
ประเทศเนเธอร์แลนด์
ชล บุนนาค นักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาลัยอีราสมุส รอตเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์
เทวฤทธิ์ มณีฉาย นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐประศาสนศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์
เอกรินทร์ ต่วนศิริ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อุบลพรรณ กระจ่างโพธิ์ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
อดิศร เกิดมงคล นักศึกษาปริญญาโท คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อุเชนทร์ เชียงเสน นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ปฤณ เทพนรินทร์ นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อานนท์ อุณหะสูต นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
อานนท์ ชวาลาวัณย์ นักศึกษาปริญญาโท Jawaharlal Nehru University New Delhi
Timo Ojanen นักศึกษาระดับปริญญาโท มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ
กมลชนก สุขใส อดีตนักศึกษาปริญญาตรี คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ไชยรัตน์ ชินบุตร นักศึกษา คณะ รัฐศาสตร์ ม.รามคำแหง
สิริลักษณ์ ศรีประสิทธิ์ นักศึกษาโรงเรียนแม่น้ำโขง Mekong School-EarthRights International
เยาวลักษ์ อนุพันธุ์ ทนายความ สำนักงานกฎหมายสิทธิชน
อนุชา มิตรสุวรรณ อิสรชนผู้รักความเป็นธรรม/เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
สุภาภรณ์ มาลัยลอย ประชาชนผู้รักความเป็นธรรมและสิ่งแวดล้อม/เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ภาวิณี ชุมศรี เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ปรีดา นาคผิว เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
ศิริภาส ยมจินดา ประชาชน
วิทยา อาภรณ์
น.ส.สุรีรัตน์ นนทโชติ โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
นางสายสม โกมลเสวิน โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
น.ส.ปาณิศา ขวัญเมือง โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
นางสมจิตร์ รามนันทน์ โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
นายสมศักดิ์ เจริญศรี โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
นายไพบูลย์ บุณรอด โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
นายสมศักดิ์ เกศชนา โครงข่ายภาคประชาสังคมนนทบุรี
ครรชิต พัฒนโภคะ องค์กรเลี้ยวซ้าย
พัชณีย์ คำหนัก องค์กรเลี้ยวซ้าย
ยุพิน อิ่มดำ องค์กรเลี้ยวซ้าย
สมาภรณ์ แก้วเกลี้ยง สมัชชาสังคมก้าวหน้า
คมลักษณ์ ไชยยะ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
ทัตธนนันต์ นวลมณี สมัชชาสังคมก้าวหน้า
รสา หิรัญฤทธิ์ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
กมล ศุภวงศ์ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
บุญธิดา อาจารยางกูร สมัชชาสังคมก้าวหน้า
ชัยนรินทร์ กุหลาบอ่ำ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
อุษากร เหมือนประยูร สมัชชาสังคมก้าวหน้า
สุจีรา เพ็งญา สมัชชาสังคมก้าวหน้า
ไชยวัฒน์ ตระการรัตน์สันติ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
สาธิต เลิศโชติรัตน์ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
กีรประวัติ คล่องวัชรชัย สมัชชาสังคมก้าวหน้า
ชวลีย์ รัตนววิไลสกุล สมัชชาสังคมก้าวหน้า
เขมนิจ เสนาจักร สมัชชาสังคมก้าวหน้า
นรสิงค์ ศรีวิโรจน์ สมัชชาสังคมก้าวหน้า
กวิน ชุติมา นักกิจกรรม องค์กรพัฒนาเอกชน
เขมนิจ เสนาจักร ประชาชน
บุหงา เสนาจักร ประชาชน
ปรินดา วานิชสันต์ ประชาชน
ชวลีย์ รัตนวิไลสกุล ประชาชน
ณัฐรัช ฐาปโนสถ มูลนิธิกระจกเงา
เอกลักษณ์ หลุ่มชมแข มูลนิธิกระจกเงา
อรรณพ นิพิทเมธาวี Webmaster ThaiNGO.org
ปฐมพร ศรีมันตะ ประชาชนและนักกิจกรรมธรรมดา
โชติศักดิ์ อ่อนสูง กลุ่มประกายไฟ
วิทยากร บุญเรือง ประชาชน
ใจ อึ๊งภากรณ์
ว่าที่ ร.อ.ภาดร ผลาพิบูลย์
นางกสิณา สริจันทร์
นายสุรพล ปัญญาวชิระ
ดรุณี ไพศาลพาณิชย์กุล
จิรฐา ขอสูงเนิน
ประสงค์ สุวรรณโฉม
นิษฐกานต์ บุญศาสตร์
อรรคพล สาตุ้ม ศิลปินอิสระ
ประดิษฐ์ ดาวมณี ประชาชน
พิมพ์สิริ เพชรน้ำรอบ ประชาชน
บัณฑิต เอื้อวัฒนานุกูล ประชาชน
อัฐธาดา ชมสุวรรณ แรงงานไทยในต่างแดน
น.ส. ชญานี ขุนกัน
วิวัฒน์ เลิศวิวัฒน์วงศา ร้านหนัง(สือ)๒๕๒๑
ภูมิวัฒน์ นุกิจ นักธุรกิจเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม
นครินทร์ วิศิษฎ์สิน
ธนกร มาณะวิท ประชาชน
พริสร์ สมุทรสาร
ฉันทนา วินิจจะกูล นักทำหนังสืออิสระ
ปรานม สมวงศ์ ประชาชน
ณภัทร สาเศียร ประชาชน
กานต์ ทัศนภักดิ์ ประชาชน
วุฒิไกร กลางทอง
ชาญณรงค์ วงค์วิชัย นักกิจกรรมรณรงค์ทางสังคมด้านเอชไอวี/เอดส์
Numnual Yapparat
นันทนีย์ เจษฎาชัยยุทธ์
ภัทชา ด้วงกลัด
ธนาวิ โชติประดิษฐ ประชาชน
ทิวสน สีอุ่น มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ศุกาญจน์ตา สุขไผ่ตา คนงานในโรงงานทอผ้าย่านรังสิตปทุมธานี ประเทศสยาม
ทินกร ดาราสูรย์ ประชาชน
พิเชฐ ยิ่งเกียรติคุณ Thai Netizen Network
ปารัชนันท์ ภาวัตโภควินท์ ประชาชน
ประกีรติ สัตสุต ประชาชน
สมิทธ์ ถนอมศาสนะ ประชาชน
มินตา ภณปฤณ ประชาชน
อาณัติ สุทธิเสมอ ประชาชน
ชาตรี สมนึก นักศึกษาปริญญาโท คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ประกาศ เรืองดิษฐ์ ศูนย์เผยแพร่และส่งเสริมงานพัฒนา (ผสพ.)
สคฤทธิ์ จันทร์แก้ว นักกิจกรรมรณรงค์ทางสังคมด้านการเมืองสิทธิมนุษยชน และ ศิลปินอิสระ
วาสิฎฐี บุญรัศมี ประชาชน
ชัชชล อัจนากิตติ ประชาชน
ศิโรฒน์ รัตนาภรณ์ นักศึกษาและนักเขียนบทความพุทธศาสนามหายานแนวมนุษยนิยม
ศรวุฒิ ปิงคลาศัย นักศึกษาปริญญาตรี คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
โสฬสสา มีสมปลื้ม นศ.ปริญญาโท สตรีศึกษา มธ.
Pairat Pannara
จาพิกรณ์ เผือกโสภา นิสิตปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร์ คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ปรัชญา สุรกำจรโรจน์ นักศึกษาคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ปาลิดา ประการะโพธิ์ นักเรียน
กัปตัน จึงธีรพานิช นิสิตปริญญาตรี คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
มินตา ภณปฤณ ประชาชน

วันศุกร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2552

วันจันทร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2552

Download WMV ประกายไฟเสวนา ตอน “ขบวนการนักศึกษา : ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ”






ตัวอย่าง Clip งานเสวนานั้น





เสวนาโต๊ะกลม

หัวข้อ ขบวนการนักศึกษา: ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ

14.00 – 17.00 น. วันเสาร์ ที่ 5 กันยายน 2552

@ ห้องอ่านหนังสือชั้นใต้ดิน อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

WMV ช่วง1
WMV ช่วง2
WMV ช่วง3
WMV ช่วง4

กิจกรรม “ช็อปแอนด์แชร์” แบ่งกันใช้ แบ่งกันคิด แบ่งกันฟัง จากอดีต จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ 14 ตุลานับเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวภาคประชาชนโดยเฉพาะหนุ่ม-สาว นิสิต นักศึกษา ที่มีพลังในการขับเคลื่อนสังคม อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ จิตอาสา เพื่อให้สังคมมีความก้าวหน้าและเป็นการยกระดับทางจิตใจ กิจกรรมนิสิตนักศึกษา ในปัจจุบัน มีการดำเนินให้หลายรูปแบบ แต่ล้วนเพื่อการสรรค์สร้างสิ่งที่ดีให้กับสังคมทั้งนั้น แต่สิ่งที่ขาดจริง ๆ ก็คือพิ้นที่ในการแสดงออกทางกิจกรรมอย่างจริงจัง ในฐานะอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาเป็นสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนทางสังคมของคนหนุ่มสาว มาแต่อดีต จึงเห็นควรเปิดพื้นที่เพื่อให้ เยาวชน ได้เข้ามาใช้พื้นที่ของอนุสรณ์สถาน ในการจัดกิจกรรม ทางสังคม ในประเด็นที่สร้างสรรค์ และเป็นการผนึกกำลังของคนรุ่นใหม่เพื่อรวมไว้ที่นี้

แนวทางในอนาคต
คาดว่าจะจัดเดือนละ 1 ครั้ง ทุกวันเสาร์แรกของเดือน

กำหนดการจัดกิจกรรม
จัดในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2552 เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป
ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน

13.00 น. เริ่มงานกิจกรรม “ช็อปแอนด์แชร์” แบ่งกันใช้ แบ่งกันคิด แบ่งกันฟัง พบกับ การออกร้าน ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

14.00 น. กิจกรรมประกายไฟเสวนา ตอน “ขบวนการนักศึกษา : ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ” ณ ห้องประชุมมูลนิธิ 14 ตุลา

17.00 น. กิจกรรมแสดงดนตรี วงสลึง มหิดล วงพรานล่าเนื้อ ศิลปากร วงลู่ลม พระนครเหนือ วงสมุนไพร พระนครเหนือ วงข้าวเหนียวปั้น รามคำแหง ณ เวทีอัฒจรรย์

... ในขณะที่บางคนบอกเราว่าประชาธิปไตยเป็นสิ่งที่นำเข้ามาจากตะวันตกดังนั้นจึงไม่เหมาะกับสังคมไทย (แต่ก็ไม่เคยบอกว่าอะไรเหมาะกับสังคมไทยสังคมไทย) แต่ขณะเดียวกันกลับมีบางคนที่บอกเราว่าสังคมไทยเป็นประชาธิปไตยมานานแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัยและคัมภีร์พระธรรมศาสตร์คือรัฐธรรมนูญฉบับแรก …

… ในขณะที่บางคนบอกเราว่าสังคมไทยในปัจจุบันยังไม่พร้อมสำหรับประชาธิปไตย แต่ก็ไม่ได้บอกเราว่าอีกนานแค่ไหนจึงจะพร้อม และยิ่งไม่ได้บอกเราว่าระหว่างนี้ (ที่ยังไม่พร้อมจะเป็นประชาธิปไตย) สังคมไทยควรใช้ระบอบอะไร …

และอีกเช่นกัน 19 กันยาปีนี้ก็จะครบรอบ 3 ปีของการรัฐประหารที่เกิดขึ้นเมื่อ 19 ก.ย. 2549 โดยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาก็มีกลิ่นอายของการรัฐประหารมาโดยตลอด ไม่เว้นแม้กระ
ทั้ง ณ เวลานี้ เวลาที่ใกล้จะครบรอบ 3 ขวบ ของการรัฐประหารในครั้งนั้น ก็ยังมิวานที่จะได้กลิ่นตลบอบอวนไปด้วยการรัฐประหารซ้ำ

ในขณะที่ขบวนการนักศึกษาซึ่งถูกมองว่าเป็นกำลังสำคัญในการเรียกร้องประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญของประชาชนอย่างแท้จริงนั้นในอดีต ณ ปัจจุบันนี้พวกเขาเหล่านั้นมองประชาธิปไตยหน้าตาเป็นอย่างไร

ด้วยเหตุนี้ทางกลุ่มประกายไฟ ร่วมกับนักศึกษาและนักกิจกรรมจำนวนหนึ่ง จึงได้ริเริ่มจัดกิจกรรมในรูปแบบของการเสวนาขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่ให้คนรุ่นใหม่ มาพูดคุย แลกเปลี่ยน มุมมอง ทัศนคติต่อการเมืองและประชาธิปไตยระหว่างกัน จึงเกิดเป็นกิจกรรมเสวนาโต๊ะกลมแบบชิลๆ ในประเด็นที่ไม่ชิลๆ ในชื่อ ประกายไฟเสวนา ตอน “ขบวนการนักศึกษา : ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ”

วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้เกิดการนำเสนอมุมมอง ทัศนคติต่อคำว่า “ประชาธิปไตย” ของแต่ละกลุ่ม
2. เพื่อให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน มุมมอง ทัศนคติต่อการเมืองและประชาธิปไตยระหว่างกัน

กิจกรรม

13.00 – 14.00 น. ลงทะเบียน พุดคุยกันตามอัธยาศรัย พร้อมชมการออกร้านบริเวณโถงชั้นล่างอนุสรณ์สถาน 14 ตุลา

14.00 – 17.00 น เสวนาโต๊ะกลม หัวข้อ “ขบวนการนักศึกษา : ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ”

นำเสวนาโดย
ตัวแทนจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
ตัวแทนจากศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย (YPD)
ตัวแทนจากกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย ธรรมศาสตร์
ตัวแทนจากกลุ่มกิจกรรมเพื่อสังคม ม.รามคำแหง
ตัวแทนกลุ่มประกายไฟ
ตัวแทนจากกลุ่มนักศึกษาเสรีปัญญาชน
ตัวแทนจากกลุ่ม Food Not Boom
ตัวแทนกลุ่มเลี้ยวซ้าย

ดำเนินรายการโดย
ดร.เก่งกิจ กิติเรียงลาภ

วันพุธที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2552

มูลนิธิ 14 ตุลา ขอเชิญนักเรียน นิสิต นักศึกษา เยาวชน คนหนุ่มสาว เข้าร่วมงาน





กิจกรรม “ช็อปแอนด์แชร์” แบ่งกันใช้ แบ่งกันคิด แบ่งกันฟัง


จากอดีต จนถึงปัจจุบัน เหตุการณ์ 14 ตุลานับเป็นเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ของการเคลื่อนไหวภาคประชาชนโดยเฉพาะหนุ่ม-สาว นิสิต นักศึกษา ที่มีพลังในการขับเคลื่อนสังคม อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการส่งเสริมประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ จิตอาสา เพื่อให้สังคมมีความก้าวหน้าและเป็นการยกระดับทางจิตใจ กิจกรรมนิสิตนักศึกษา ในปัจจุบัน มีการดำเนินให้หลายรูปแบบ แต่ล้วนเพื่อการสรรค์สร้างสิ่งที่ดีให้กับสังคมทั้งนั้น แต่สิ่งที่ขาดจริง ๆ ก็คือพิ้นที่ในการแสดงออกทางกิจกรรมอย่างจริงจัง ในฐานะอนุสรณ์สถาน 14 ตุลาเป็นสถานที่ที่เป็นสัญลักษณ์ในการขับเคลื่อนทางสังคมของคนหนุ่มสาว มาแต่อดีต จึงเห็นควรเปิดพื้นที่เพื่อให้ เยาวชน ได้เข้ามาใช้พื้นที่ของอนุสรณ์สถาน ในการจัดกิจกรรม ทางสังคม ในประเด็นที่สร้างสรรค์ และเป็นการผนึกกำลังของคนรุ่นใหม่เพื่อรวมไว้ที่นี้






วัตถุประสงค์






1. เพื่อเปิดพื้นที่ให้เยาวชน นิสิต นักศึกษา องค์กรเยาวชน องค์การนิสิต นักศึกษา ได้เข้ามาใช้พื้นที่เพื่อแสดงออกและจัดกิจกรรมสร้างสรรค์ หารายได้เพื่อนำไปทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไป



2. เพื่อให้เกิดการพูดคุย แลกเปลี่ยน มุมมอง ทัศนคติต่อการเมืองและประชาธิปไตยระหว่างกัน






-- กิจกรรมดนตรี



กิจกรรมดนตรีเป็นกิจกรรมที่วัยรุ่นค่อนข้างให้ความสนใจเป็นอย่างมากในยุคปัจจุบัน และการบริโภคของคนยุคใหม่ค่อนข้างเปิดกว้างมากขึ้น ดังนั้นการจัดกิจกรรมดนตรี จึงเป็นช่องทางนึงที่สามารถเผยแพร่ข้อมูลเรื่องประชาธิปไตยให้คนรุ่นใหม่ได้รับรู้และเข้าใจ โดยผ่านกิจกรรมที่เค้าให้ความสนใจ การเลือกวงดนตรีนั้นอาจจะเลือกให้สอดคล้องกับความต้องการของคนรุ่นใหม่แต่ไม่ละเลยอุดมการณ์ประชาธิปไตยและต้องเปิดกว้างให้คนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้


-- กิจกรรมออกร้าน



กิจกรรมออกร้านเป็นการเปิดพื้นที่ให้กลุ่มกิจกรรมที่ทำประโยชน์เพื่อสังคมได้เข้ามาใช้พื้นที่ในงานเพื่อหารายได้ ไม่ว่าจะเป็นการบริจาค หรือการขายของ ซึ่งมีเกณฑ์การคัดเลือกต้องเป็น กลุ่มเยาวชนที่ทำงานเพื่อสังคมและนำรายได้ไปเพื่อการทำประโยชน์เพื่อสังคมต่อไปเท่านั้น


-- กิจกรรมเสวนา



กิจกรรมเสนาเป็นการพบปะพูดคุยเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูล ระหว่างบุคคล กลุ่มกิจกรรม โดยการจัด เราจะเลือกเอา



ผู้เข้าร่วมเสวนาที่เป็นบุคคลที่น่าสนใจของคนรุ่นใหม่ มาพูดคุย แลกเปลี่ยน มุมมอง ทัศนคติต่อการเมืองและประชาธิปไตย เพื่อช่วยกันคิดในประเด็นเรื่องประชาธิปไตย







กำหนดการจัดกิจกรรม



จัดในวันเสาร์ที่ 5 กันยายน 2552 เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป

ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนิน


13.00 น. เริ่มงานกิจกรรม “ช็อปแอนด์แชร์” แบ่งกันใช้ แบ่งกันคิด แบ่งกันฟัง

พบกับ การออกร้าน ณ อนุสรณ์สถาน 14 ตุลา


14.00 – 17.00 น ประกายไฟเสวนา “
ขบวนการนักศึกษา : ประชาธิปไตย คุณคือใคร ก่อนรัฐประหารซ้ำ”


นำเสวนาโดย
ตัวแทนจากสหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.)
ตัวแทนจาก ศูนย์ประสานงานนักเรียน นิสิต นักศึกษา (ศนศ.)
ตัวแทนจากองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (อมธ.)
ตัวแทนจากองค์การนักศึกษา มหาวิทยาลัยรามคำแหง
ตัวแทนจากศูนย์ประสานงานเยาวชนเพื่อประชาธิปไตย (YPD)
ตัวแทนจากกลุ่มสังคมนิยมประชาธิปไตย ธรรมศาสตร์
ตัวแทนจากกลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก (กปก.)
ตัวแทนจากกลุ่มกิจกรรมเพื่อสังคม ม.รามคำแหง
ตัวแทนกลุ่มประกายไฟ
ตัวแทนจากกลุ่มนักศึกษาเสรีปัญญาชน
ตัวแทนจากเครือข่ายเยาวชนกู้ชาติ (Young PAD.)
ตัวแทนจากกลุ่มแรงคิด
ตัวแทนกลุ่มเลี้ยวซ้าย
ตัวแทนกลุ่ม Food not Boom

ดำเนินรายการโดย
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ กลุ่มประกายไฟ


17.00 น. กิจกรรมแสดงดนตรี



วงสลึง มหิดล
วงพรานล่าเนื้อ ศิลปากร
วงลู่ลม พระนครเหนือ
วงสมุนไพร พระนครเหนือ
วงข้าวเหนียวปั้น รามคำแหง
ณ เวทีอัฒจรรย์


จัดโดย

มูลนิธิ 14 ตุลา


กลุ่มเป้าหมาย



เยาวชน วัยรุ่น และบุคคลทั่วไปที่สนใจ






ผลที่คาดว่าจะได้รับ
1. เกิดการสนใจในเรื่องประชาธิปไตย สิทธิ เสรีภาพ ความเท่าเทียมกัน
2. ขยายวงการสืบทอดเจตนารมย์ไปสู่เยาวชน คนรุ่นใหม่

3. อนุสรณ์สถานกลายเป็นจุดศูนย์กลางการทำกิจกรรมของเยาวชน โดยไม่ปิดกัน


สอบถามรายละเอียดที่ 02-622-1013-5

วันพุธที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2552

สัมภาษณ์: ปาลิดา ประการะโพธิ์ “โปรดอย่าพูดแบบเหมารวม เด็กมัธยมก็สนใจปัญหาสังคม”

คลื่นลูกใหม่ๆ ย่อมมาแทนที่คลื่นลูกเก่าเสมอ ในห้วงเวลาที่นักกิจกรรม-เอ็นจีโอรุ่นเก่าแก่ เริ่มหาที่ทางในช่วงบั้นปลาย ไม่ว่าจะเป็นการออกไปสิงตามพรรคการเมือง ออกไปเป็นที่ปรึกษาตามหน่วยงานองค์กรต่างๆ หรือเริ่มแคะกระปุกเงินเก็บออมไปกว้านซื้อหากระท่อมเล็กกระท่อมน้อยตามชนบทบรรยากาศเขียวๆ สร้างสวรรค์ในช่วงท้ายของชีวิต ส่วนรุ่นกลางๆ มาหน่อยก็กำลังเพลิดเพลินกับหน้าที่บริหารองค์กร เขียนโครงการขอทุน การออกแถลงการณ์ ตั้งโต๊ะแถลงข่าว และบินไปประชุมตามที่ต่างๆ

วันนี้ประชาไทขอนำเสนอบทสัมภาษณ์ นักกิจกรรมรุ่นใหม่ เพื่อเป็นการหวนรำลึกไปถึงวันที่คนหนุ่มสาวเริ่มออกแสวงหาเส้นทางเพื่อการค้นพบคุณค่าของตัวเอง กลับไปในช่วงสมัยที่เริ่มหัดออกค่าย แบกเป้ โบกรถ ตามหาความฝัน
“ปาลิดา ประการะโพธิ์” เด็กชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 เด็กมัธยมที่กล้าประกาศกับผู้ใหญ่หรือนักกิจกรรมรุ่นเก๋าๆ ทั้งหลายว่า “โปรดอย่าพูดแบบเหมารวม เด็กมัธยมก็สนใจปัญหาสังคม”




“ปาลิดา ประการะโพธิ์”
ขณะทำกิจกรรมครบรอบ 21 ปีเหตุการณ์ 8888 เมื่อวันที่ 8 ส.ค. 52 ที่ผ่านมา(ด้านหลังเป็นจิตรา คชเดช ปิดปากคาดหัวเราก็แอบรู้เพราะเราอยู่ในเหตุการณ์)



เริ่มต้นจากการอ่าน

ปาลิดา เกิดมาในครอบครัวที่เธอเรียกว่าเป็น “ครอบครัวธรรมดาๆ” ซึ่งหัดให้เธอเริ่มรู้จักรับผิดชอบต่อตนเองต้องแต่ช่วงประถม และในบางครั้งอาจจะมีอารมณ์ เศร้า เหงารัก ตามประสาเด็กทั่วไป แต่สิ่งที่เธอใช้บำบัดอารมณ์ในวัยเยาว์ของเธอนั่นก็คือ ‘การอ่าน’
“เกิดในครอบครัวธรรมดา เป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่สอนให้รับผิดชอบตัวเองตั้งแต่เด็กๆ เพราะไม่ค่อยมีเวลาอยู่ด้วยกัน ประมาณประถมต้นก็หัดรีดผ้าเองแล้ว พอโตหน่อยประถมปลายก็พ่อแม่ก็ส่งเข้าโรงเรียนประจำ ทำให้ยิ่งต้องช่วยเหลือตัวเองให้เป็นเข้าไปกันใหญ่ พอห่างจากพ่อแม่ก็มีเหงาบ้างอะไรบ้าง เลยต้องหาสิ่งจรรโลงใจหน่อย คือ หนังสือ เป็นคนชอบอ่านหนังสือตั้งแต่เด็กๆ”

“ไม่ว่าจะหนังสืออะไรได้หมด ตั้งแต่การ์ตูนยันสารคดีหนักๆ แต่อย่างหลังนี่ตอนเด็กๆ อ่านเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็พยายามอ่าน สนุกดี อ่านหนังสือมาเรื่อยจนกระทั่ง ป.4 เริ่มอ่านหนังสือที่ไม่มีภาพ เน้นหนาๆ อย่าง แฮร์รี่ พอตเตอร์ นี่อ่านสี่เล่มรวดเลย แล้วก็นวนิยายแบบคลาสสิคสุดๆอย่าง สี่แผ่นอิน หรือรัตนโกสินทร์ ฯลฯ ช่วงนั้นบ้ามากเอาไปอ่านในเวลาเรียนจนครูว่าแต่ก็ไม่สนใจเท่าไหร่”

“ดำเนินชีวิตมาเรื่อยๆ แบบเด็กปกติทั่วไป ไม่รับไม่รู้อะไรกับโลกภายนอกเขาเท่าไหร่ เขาบอกให้เรียนเราก็เรียน เขาบอกให้สอบเราก็สอบไป บ้าเรียนกวดวิชา บ้าทีวี กลับมาบ้านนี่ต้องเปิดทีวีก่อนเลย จนกระมาถึงประมาณ ม.4 เริ่มเห็นความจริงของโลกจากการอ่านหนังสือหลายๆ เล่มแล้วเราเริ่มคิดตามว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเป็นแบบนี้ สิ่งนี้ถึงเป็นแบบนั้น สงสัยมาก พอดีได้คุยกับรุ่นพี่คนหนึ่งตอนนั้นเขาย้ายไปเรียนอยู่โรงเรียนเตรียมฯ เมื่อก่อนสนิทกันมากเพราะเคยอยู่ประจำหอเดียวกัน พี่คนนี้เขาสนใจการเมือง สนใจความเคลื่อนไหวรอบโลก แล้วก็มาแนะนำว่าลองอ่านอันนี้สิ ลองไปดูอันนั้นสิ ซึ่งก็จำไม่ได้ว่าพี่เขาแนะนำว่าอย่างไร แต่มันเป็นจุดหักเหของการเปลี่ยนมุมมองในการมองโลก ก่อนหน้านี้ชีวิตมีแต่บ้านกับโรงเรียน สองอย่างนี้กลืนกินชีวิตกว่า 80% หลังจากนั้นเราก็เริ่มหันกลับไปมองว่าเอ… ไอ้ที่เราทำไปเมื่อก่อนนั่นเราทำอะไร เราทำเพื่อใคร แล้วตอนนี้เรากำลังทำอะไรอยู่”

หนังสือเล่มหนาอย่าง ‘ปุลากง’ ซึ่งเป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของพ่อเธอในสมัยที่ยังเรียนอยู่ กลายเป็นแรงบันดาลใจที่สำคัญเมื่อครั้งที่หยิบมาอ่าน และมันก็เป็นประตูให้เธอเริ่มก้าวเข้ามาเป็นนักกิจกรรมวัยเยาว์

“การอ่านนี่มันทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปได้จริงๆ นะ ไปเจอหนังสือเล่มหนึ่งชื่อว่า ‘ปุลากง’ เป็นหนังสือเก่ามากแล้ว หนังสือนี้ใช้เป็นหนังสืออ่านนอกเวลาของพ่อสมัยตอนเรียนหนังสือ เรื่องราวในนั้นมันจะเล่าเกี่ยวกับสามจังหวัดชายแดนใต้ เราเห็นว่ามันแปลกดี บางเรื่องไม่เคยรู้มาก่อน เลยตามอ่านหนังสือเกี่ยวกับมุสลิมทั้งหมด ไม่ว่าจะในตะวันออกกลาง วัฒนธรรมของชาวมุสลิม ข้อบังคับทางศาสนา รู้สึกว่าอารยธรรมของชาวมุสลิมนี่มีเสน่ห์ดึงดูดชวนให้น่าติดตามดี เลยความบ้าขึ้นมาอยากจะไปเรียนภาษาอาหรับ พออยากแล้วก็ไปหาที่เรียนเลย ไกลแค่ไหนก็จะไปให้ได้”

“ตอนนั้นได้ที่เรียนที่ WAMY ( World Assembly of Muslim Youth) อยู่แถวๆ อ่อนนุช ไกลมากเลยนะจากหลักสี่เนี่ย แต่ก็ได้ไปเรียนจนได้ เรียนได้ไม่นานก็ต้องหยุด เพราะสู้ค่าเดินทางไม่ไหว พอเราได้เรียนอาหรับเรารู้สึกว่าเอ...ทำมีความสุขจัง เลยเกิดความกระเหี้ยนกระหือรืออยากจะไปเจอของจริง พอดีรู้จักพี่คนหนึ่งเขาทำค่ายเกี่ยวกับเรียนรู้วิถีชาวบ้านที่สามจังหวัดชายแดนใต้ ก็เลยตกลงไปกับเค้าด้วย พี่เขาเป็นกังวลใหญ่เลยว่ามีเด็กนี่ตามไปด้วยจะเป็นไรไหม เพราะมันเป็นค่ายของนักศึกษา ถ้าน้องเขาไปแล้วเกิดอันตรายขึ้นมาจะทำยังไง พี่เขาถามแล้วถามอีกว่าจะไปแน่เหรอ เราก็บอกว่าแน่ เพราะอยากไปมานานแล้ว”

“แต่ที่ตอบตกลงไปนี่ยังไม่ได้บอกพ่อกับแม่เลย กลัวเขาจะไม่ให้ไป แต่ก็ต้องตัดสินใจบอกเพราะกลัวเขาจะช็อค ถ้าวันหนึ่งลูกสาวหอบกระเป๋าออกไปข้างนอกสามวันเจ็ดวันโดยไม่บอกกล่าว บอกไปทีแรกหัวเด็กตีนขาดยังไงเขาก็ไม่ให้ไป เราก็ต่อต้านในใจ คิดว่าชีวิตกู กูลิขิตเองได้ จะไปซะอย่างใครจะทำไม พ่อแม่สอนให้เราจะทำอะไรก็คิดเอง ถามพ่อแม่พอเป็นธรรมเนียม ก็รู้ว่าเขาเป็นห่วงนะ แต่ทำไงได้ เรามันดื้อด้าน หลังๆ เขาก็เลยอยากไปไหนก็ไป ลงสามจังหวัดชายแดนนี่ถือเป็นกิจกรมแรกที่ได้ทำจริงๆ จัง ได้ไปลงพื้นที่เยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความไม่สงบ ไม่ดูวิถีชาวบ้านว่าเขาอยู่กันยังไง ไปไม่กี่วันนี่หลงเสน่ห์ชาวมลายูเข้าอย่างจัง รักมากพื้นที่นี้”

ประสบการณ์ชายแดนใต้

สิ่งที่ปาลิดาได้พบเห็นจากการลงพื้นที่ครั้งนั้น อาจจะเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่หลายคนไม่เคยสัมผัส และเธอได้รับประสบการณ์ชีวิตมากมาย
“พื้นที่สีเขียวนี่แพร่วงกว้างมาก ไปตอนแรกนี่ตกใจ หลังๆ เริ่มชิน พอขบวนรถนักศึกษาลงไปนี่ต้อนรับอย่างดีเลย พี่แก (ทหาร) เล่นบล็อกเราทุกด่าน ถนนสายหนึ่งนี่มีด่านมากกว่าสิบด่านได้มั้งไม่ให้ไปบ้าง จะจัดรถทหารไปนำขบวนให้บ้าง แต่เราก็ปฏิเสธนะ ถ้าเขาไปด้วยชาวบ้านหวาดระแวงแน่ๆ ทหารก็กลัวว่าขบวนการจะมาทำอะไรเรา แต่เรามั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว”

“พอลงไปก็เห็นปัญหาหลายๆ อย่าง ปัญหาที่ครอบครัวส่วนใหญ่ประสบคือ ขาดผู้นำครอบครัว ขาดสามี ขาดที่พึ่ง เพราะเสียชีวิตไปกับเหตุการณ์ไม่สงบทั้งที่เกิดจากรัฐและผู้ก่อการร้าย บางครอบครัวได้รับคำสัญญาจากรัฐว่าจะให้เงินช่วยเหลือครอบครัวแต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ หรือพอเกิดเรื่องอะไรก็ให้ไปฟ้องศาลเอาเอง แล้วลองคิดดูสิ ชาวบ้านก็จนอยู่แล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปวิ่งเต้นจ้างทนายมาว่าความ ไหนจะค่าเดินทาง ค่านู่นค่านี่ เต็มไปหมด”

“ในส่วนตัวมองว่าปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่งที่น่าจะได้รับการแก้ไขจากรัฐคือปัญหาการไม่มีที่ทำกิน อย่างน่านน้ำทะเลปัตตานีเนี่ย พวกนายทุนเขาพากันไปจับจองกันหมด มีการปักปันเขตแดนด้วยนะ ชาวบ้านเลยหมดทางทำมาหาดิน ออกเรือไปไหนก็ไม่ได้ เพราะนายทุนเขาห้ามเขาเขตเขา นายทุนก็ฉลาดทำการฮั้วกับกำนันผู้ใหญ่บ้านเสร็จสรรพ หมดเลยที่ดินทำกิน แล้วยังมีการถมที่ตั้งโรงงานปลากระป๋องยื่นออกไปในทะเล ปล่อยน้ำเสียออกมาอีก ชาวบ้านเดือดร้อนเข้าไปอีกปัญหาของชาวบ้านมันไม่ได้รับการแก้ไข เพราะคนในระบบราชการ คนใหญ่คนโตมันไปทำเสียเอง ผลประโยชน์มันมหาศาลมันล่อตา คราวนี้ยังไงล่ะชาวบ้านจะเหลืออะไร ก็เจ๊งลูกเดียว”
ปาลิดาเห็นว่าปัจจัยที่ทำให้พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ไม่สงบ คือเรื่องของความอึมครึมตึงเครียด และนโยบายการใช้การทหารนำการเมือง

“บรรยากาศมันอึมครึม ต่างฝ่ายต่างใช้ความรุนแรงเข้าหากัน ไม่มีใครรู้ว่าความรุนแรงและการประหัตประหารชีวิตกันในแต่ละวันมันมาจากเหตุผลและวัตถุประสงค์อะไร มันมีสมมติฐานหลายอย่างที่ใช้ในการอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกนักวิชาการหรือฝ่ายทหารก็จะบอกว่าหัวหอกของการก่อการร้ายคือพวก BRN-Coordinate ซึ่งพวกเขาต่างจินตนาการกันว่าเป็นองค์กรที่มีขนาดใหญ่ มีโครงสร้างชัดเจน และมีการสั่งงานเป็นขั้นเป็นตอน เป็นลำดับขั้นชัดเจน การที่ไปเอะอะเป็นตุเป็นตะเอาเองอย่างนั้นมันจะนำไปสู่การเข้าใจผิด การแก้ปัญหาเลยไม่ถูกที่ถูกทาง”

“อีกอย่างคือการใช้การทหารนำการเมือง พื้นที่ที่ภาคใต้มีสถาพคล้ายเมืองที่เป็นอาณานิคมอยู่เต็มที ถึงแม้ว่าในอดีต สยามจะเคยบุกตีรัฐปัตตานีมาเป็นเมืองขึ้นก็ตาม แต่ในเมื่อมีการหลอมรวมกันเป็นชาติเดียวแล้ว ก็น่าจะหาวิธีปฏิบัติต่อกันให้ดีหน่อย เพราะความรุนแรงจากรัฐและจากขบวนการเองเป็นเหตุของความไม่สงบในปัจจุบัน”

กิจกรรมที่ทำ

หลังจากกลับมาจากจังหวัดชายแดนใต้ ปาลิดาก็ได้เริ่มทำกิจกรรมอย่างจริงจัง
“พอกลับมากรุงเทพฯ ก็เริ่มเข้าไปทำกิจกรรมกับพี่ที่มหาวิทยาลัยที่เราสนิทเพิ่มมากขึ้น รู้จักคนเพิ่มมากขึ้น เลยไปเข้ากลุ่มทำกิจกรรมกับกลุ่มประกายไฟ กลุ่มที่ใช้แนวคิดแบบมาร์กวิเคราะห์สังคม ก็มีการจัดกิจกรรมที่หลากหลายในกลุ่มนั้น เช่น การจัดเสวนา การจัดกลุ่มศึกษากันเองภายในกลุ่มเพื่อเพิ่มพูนความรู้ แรกๆ ที่อ่านงานมาร์กนี่จะอ้วก เลี่ยน เอียน มากกับแนวคิด คิดว่ามาร์กคงไม่ใช่คำตอบของสังคมทั้งหมด แต่ก็สามารถนำมาประยุกต์ให้เข้ากับสภาพบ้านเมืองและสถานการณ์ต่างๆ ได้อย่างไม่ติดขัด เช่น การเรียกร้องให้มีรัฐสวัสดิการในประเทศไทย การเรียกร้องสิทธิที่แรงงาน สิทธิของคนรากหญ้าทั่วไปควรจะได้รับ”

“มันก็เกิดคำถามในใจอีกว่าสิ่งที่เราทำอยู่ในประกายไฟคือคำตอบสุดท้ายหรือ คำตอบคือ ‘ไม่’ แต่แนวทางในการทำงานส่วนหนึ่งของกลุ่มมันตรงกับทัศนคติของเราที่มีต่อโลก เช่น ไม่ชอบการเอารัดอาเปรียบ ไม่ชอบการกดขี่ แต่การอยู่กลุ่มประกายไฟนี่เพื่อการเรียนรู้งาน การเรียนรู้การทำงานร่วมกันกับสังคมที่นอกเหนือกว่าโรงเรียน มีความคิดที่โตขึ้นจากเด็กที่กะโหลกกะลาไปวัน รับรู้ปัญหาของสังคมมากขึ้น ตอบปัญหาที่เคยตั้งไว้กับโลกว่าทำไมสิ่งนั้นถึงเป็นอย่างนี้ สิ่งนี้ถึงเป็นอย่างนั้นได้บ้าง”

“ได้มาทำงานกับอีกกลุ่มหนึ่ง คือ กลุ่ม Food Not Bombs กลุ่มนี้มีจุดเริ่มต้นจากสหรัฐอเมริกาแล้วกระจายไปยังประเทศอื่นๆทั่วโลก เป็นกลุ่มที่ต่อต้านความรุนแรงทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะต่อมนุษย์ ต่อสัตว์ ต่อสังคม อันที่จริงกลุ่มนี้พี่เขาเพิ่งนำเข้ามาในไทยเมื่อหนึ่งถึงสองปีก่อน ทำกิจกรรมรณรงค์อยู่พักหนึ่ง ก็หายหน้าหายตาไปทำงานอื่น”

“พอเราเข้ามาเขาก็ทำการ re-branding ใหม่ เริ่มต้นใหม่หมด เรียกประชุมคิดประเด็นรณรงค์ใหม่ แนวทางการทำกิจกรรมใหม่ ให้มันน่าสนใจ น่าดึงดูดพอที่จะดึงคนรุ่นใหม่มาสนใจประเด็นทางสังคมมากขึ้น มันเป็นงานที่ยากมาก ที่จะทำยังไงให้มองดูแล้วกิจกรรมที่ปล่อยออกมาดูไม่เครียด แต่ชื่อกลุ่มเราก็ดูแปลกแหวกแนวอยู่แล้ว ประเด็นที่เราจะเล่นคือการใช้งบทหารที่ฟุ่มเฟือย เพราะแทนที่จะเอาเงินไปอุดหนุนงบทหารซะมากมาย เงินเหล่านั้นสามารถนำไปพัฒนาสวัสดิการเพื่อประชาชนที่ยากจนได้อีกมาก”

“แล้วเรายังมองว่าความอดอยากหิวโหยเป็นความรุนแรงอีกแบบหนึ่งด้วย เพราะมันสามารถส่งผลเป็นลูกโซ่ได้อีกหลายๆ เหตุการณ์ อย่างการลักทรัพย์ การทำร้ายร่างกาย ฯลฯ เรามีการจัดกิจกรรมขึ้นมาหลายๆ กิจกรรม เช่น การแจกอาหารมังสวิรัติต่อคนที่อดอยาก การพาสมาชิกไปสัมผัสวิถีชีวิตของแรงงานที่น้อยคนนักจะรู้ว่าเขามีความเป็นอยู่ยังไง ผลตอบรับที่ได้จากเยาวชนยังได้รับความสนใจที่ยังน้อยอยู่ หากถามว่าแนวทางของกลุ่มนี้ถูกใจไหม ก็คงต้องตอบว่าไม่ แต่ก็ยังอยากทำต่อไป เพราะสังคมไทยยังขาดการเรียกร้องต่อเรื่องนี้อยู่ และยังคงต้องหาแนวทางของตัวเองต่อไป”

ปาลิดาแสดงความเห็นต่อการวิจารณ์ว่าการทำงานของ Food not Bombs ว่าเป็นแนวสังคมสงเคราะห์มากเกินไป เธอคิดเห็นว่าการแจกอาหารไม่ใช่เป้าหมายหลักของกลุ่ม

“การแจกอาหารไม่ใช่เป้าหมายหลัก มันคือกิจกรรมหลัก แต่การสร้างกิจกรรม การทำงานร่วมกัน สร้างสังคมที่เกื้อกูลกัน เรียนรู้ซึ่งกันและกันต่างหาก เป็นสิ่งที่เราจะทำต่อไป”

ซึ่งปาลิดามองว่ากิจกรรมของ Food not Bombs เหมาะสำหรับคนที่อยากทำกิจกรรมทางสังคม คนรุ่นใหม่ก็สามารถเริ่มต้นจากกลุ่มเล็กๆ กลุ่มนี้เพื่อแสวงหาต่อยอดในการทำกิจกรรมเพื่อสังคมอื่นๆ ที่เข้มข้นกว่าในอนาคตได้
แต่การทำกิจกรรมของ Food not Bombs ก็ยังพบอุปสรรค โดยเฉพาะเรื่องของทรัพยากรในการดำเนินกิจกรรม
“เรายังขาดทรัพยากร ไม่ว่าจะเป็น คน เงิน และเวลา ในการดำเนินงาน ใช่ว่าทรัพยากรคนที่มีอยู่ของเราไม่มีคุณภาพ แต่สมาชิกของเราเกือบทั้งหมดเป็นนักเรียน นิสิต นักศึกษา เลยไม่มีใครทำงานให้องค์กรเต็มเวลา การดำเนินกิจกรรมเลยไม่ค่อยต่อเนื่องเท่าไหร่ แต่ก็ยังมีกิจกรรมออกมาตลอด เราไม่มีการเก็บค่าสมาชิกก็เลยต้องเขียนโครงการไปพึ่งแหล่งทุนอื่น”
อย่ามองเด็กเหมารวม

เมื่อถามว่าคนรุ่นใหม่โดยเฉพาะเด็กมัธยม โดนวิจารณ์เรื่องไม่สนใจปัญหาสังคม ปาลิดาให้ความเห็นว่าในบางครั้งมองเด็กเพียงด้านเดียว และบ่อยครั้งยังแถมประเด็นการ ‘เหมารวม’ พร้อมกับย้อนถามว่า ต้นเหตุแท้จริงมันมาจากความคาดหวังของผู้ใหญ่ ที่มักวางกรอบให้เด็กไม่สนใจปัญหาสังคมตั้งแต่ต้นมาแล้ว

“อันที่จริงพวกผู้ใหญ่จะไปพูดว่าเด็กไม่สนใจปัญหาสังคมไปทั้งหมดก็ไม่ถูกนะ เด็กมัธยมรุ่นนี้ก็สนใจปัญหาสังคมเหมือนกัน กรุณาอย่าพูดแบบ ‘เหมารวม’ ซึ่งพวกเด็กๆ ก็มักคิดว่าสนใจปัญหาสังคมแล้วกูทำอะไรได้วะ แล้วสังคมตอนนี้ส่วนใหญ่ก็บริโภคนิยมฉาบฉวยกันมั้ง ทุกวันนี้การแข่งขันในระบบการศึกษามันสูงมาก ใครดีใครได้และก็ต้องมาเครียดกับการอ่านหนังสือเรียน เครียดกับเรื่องการเตรียมสอบ อนาคตของตัวเองเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า”

“แล้วพวกผู้ใหญ่นี่แหละชอบปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ว่าหน้าที่ของเด็กคือตั้งหน้าตั้งตาเล่าเรียนหนังสือเข้าไป ยังไม่ต้องไปสนใจเรื่องอื่นเพราะไม่ใช่หน้าที่ของตัวเอง ปัญหาเหล่านี้เป็นเรื่องที่ไกลตัว ปล่อยให้ผู้ใหญ่เขาทำไปเถอะ ตัวแค่นี้จะไปทำอะไรได้ แบบนี้จะไปโทษเด็กได้ยังไงมันอยู่ที่การปลูกฝังและความสนใจเฉพาะตัวเด็ก”

“แล้วสภาพแวดล้อมในขณะนี้ หากนำไปเทียบกับยุคที่นักเรียนนักศึกษาตื่นตัวมากๆ อย่างช่วง สิบสี่ตุลา หกตุลา ก็จะเห็นว่าสภาพแวดล้อมมันต่างกัน อุดมการณ์ที่จะทำเพื่อสังคมมีสูงมาก มีเหตุการณ์หลายๆ เหตุการณ์ที่กระตุ้นให้พวกเขาเหล่านั้นรวมตัวกันเพื่อทำกิจกรรมทางสังคม อย่างการออกค่ายไปสัมผัสชีวิตชาวนา การตั้งกลุ่มขึ้นมาเพื่อพูดคุยกันถึงความเป็นไปของบ้านเมือง หรืออะไรเทือกนั้น แต่ในปัจจุบันพวกถึงแม้ว่าเด็กจะรับรู้ถึงปัญหาสังคม แต่ก็ไม่ได้มีความรู้สึกร่วมต่อปัญหานั้น ไม่ได้มีการนำปัญหานั้นมาต่อยอด มาจับกลุ่มคุยกันว่าว่าเราสามารถทำอะไรได้บ้างต่อปัญหานั้นๆ เพราะมันเป็นเรื่องที่น่าเบื่อ น่ารำคาญ และแลดูไกลตัวเกินไป”

“เพื่อนๆ ในวัยเดียวกันจะสนใจแต่เรื่องของการจะทำยังให้ได้คะแนนดีๆ การที่จะทำยังไงให้ตัวเองสอบเข้ามหาวิทยาลัยได้ แน่นอนเรื่องนี้เป็นเรื่องสำคัญสำหรับเด็กทุกคนเพราะสมัยนี้จบปริญญาตรี ยังหางานทำไม่ได้เลย นับประสาอะไรกับแค่ ม.6 ดังนั้นการเข้ามหาวิทยาลัยจึงเป็นจุดมุ่งหมายเดียวและเป็นเป้าหมายร่วมของเด็กวัยนี้ ฉะนั้นการทำกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่จึงทำไปในทิศทางเดียวกัน อย่างการไปเรียนโรงเรียนกวดวิชาชื่อดัง การเอาเวลาส่วนใหญ่ไปอ่านหนังสือ มากกว่าจะอาเวลามาสนใจปัญหาสังคม ซึ่งเขาคิดว่ามันเป็นเรื่องของผู้ใหญ่ เวลาจะหาแนวร่วมทำกิจกรรมของ Food not Bombs หรือกิจกรรมอื่นๆ นี่ยากมาก”
การเมือง “เหลือง - แดง”

ในประเด็นการเมืองไทยปัจจุบัน เมื่อถามปาลิดาว่าคิดอย่างไร กับการเมือง “เสื้อเหลือง เสื้อแดง” รวมถึงบรรยากาศการพูดคุยของเด็ก ม.6 เกี่ยวกับเรื่องการเมืองปัจจุบัน

“ผลประโยชน์มันล่อตาล่อใจอำนาจมันล่อไม้ล่อมือเลยมีมหกรรมแย่งชิงพื้นที่ทางการเมืองเป็นการใหญ่แต่ไหนแต่ไร ไม่ต้องจัดมหกรรมประจำปี เพราะมันเกิดทุกวัน เมื่อถามว่าประชาชนได้อะไรที่ควรได้บ้างไหม ก็ได้อะไรที่มันไม่จำเป็นต้องมีก็ได้ เช่น โครงการรถไฟฟ้าสายสีรุ้ง มันก็ได้แต่คนในเมืองทั้งนั้น แล้วคนที่อยู่รอบนอกล่ะ เขาไม่ได้อยู่ในประเทศไทยหรือไง”

“เลยเกิดคำถามว่าบ้านเมืองเราคงมีปัญหาเรื่องชาติพันธุ์น้อยเกินไปหรือเปล่า เลยต้องสร้างแบรนด์ใหม่ขึ้นมาเพื่อเพิ่มความแตกต่าง เสื้อเหลือง เสื้อแดง เสื้อน้ำเงิน เสื้อขาว เสื้อชมพู เสื้อสีรุ้ง บลา บลา บลา ผุดขึ้นมาเต็มบ้านเต็มเมืองไปหมด แน่ล่ะ สถาณการณ์ทางการเมืองมันส่งผลให้ต้องแสดงออกถึงเจตนารมณ์และอุดมการณ์ แต่คุณต้องไม่ลืมว่าการแสดงออกที่ชัดเจนอย่างเสื้อเหลือง เสื้อแดงนั้น มันเป็นการแบ่งขั้วมากเกินไปหรือเปล่า”

“อย่างสมมุติว่าคนที่มีความคิดไม่สนับสนุนทักษิณ แต่อยากได้ประชาธิปไตยไม่เทียมจะจัดเขาอยู่ตรงโซนไหนของเสื้อแดง แดงเข้ม แดงปานกลาง แดงอ่อนหรือแดงอ่อนๆ จะนิยามคำว่าเสื้อแดงยังไง หรือถ้าสมมติว่าคนที่ไม่ต้องการทุนนิยมสุดขั้ว ไม่ต้องการนักกินเมืองขี้ฉ้อ แต่ยังอยากได้นายกฯแบบที่มาจากประชาธิปไตยล่ะ จะแบ่งยังไง เหลืองเข้ม เหลืองปานกลาง เหลืองอ่อน หรือเหลืองอ่อนๆ นี่คือปัญหา การเมืองไทยเป็นอะไรที่เข้าใจยากมาก หากจะให้นิยามตัวเองด้วยสี คงจะเป็นสีส้ม”

และเมื่อถามถึงบรรยากาศในชั้นเรียนของปาลิดา เกี่ยวกับการพูดคุยเรื่องการเมือง ว่าเชียร์เสื้อเหลือง เชียร์เสื้อแดง เชียร์อภิสิทธิ์ เชียร์ทักษิณ บ้างไหม ปาลิดาให้คำตอบสั้นๆ

“คุยกันบ้าง ก็เชียร์แบบตามกระแสเสื้อเหลืองฟีเวอร์เลย พี่มาร์คสุดหล่อ การศึกษาดี ชาติตระกูลดี แต่ก็ไม่รู้ว่าทำไมทักษิณถึงเลวเสื้อแดงถึงถ่อย”

… เหล่านี้คือคำตอบของเด็ก ม.6 โรงเรียนอัมพรไพศาล ที่กำลังผิดหวังกับผลการสอบกลางภาคนิดหน่อย แต่อีกด้านหนึ่งเธอกำลังมุ่งมั่นทำกิจกรรมนอกห้องเรียนเพื่อเผาผลาญชีวิตวัยเยาว์ของตัวเองอย่างขมักเขม้น

ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2009/08/25593

ปาฐกถา สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ: “บทเรียนและการต่อสู้ของสหภาพแรงงานกับรัฐและทุนข้ามชาติ”


แล ดิลกวิทยรัตน์ นักวิชาการด้านแรงงาน เป็นตัวแทนมอบเหรียญแด่ตัวแทนสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ บุญรอด สายวงศ์ เลขาธิการสหภาพฯ


เมื่อวันที่ 23 กรกฏาคม มหาวิทยาลัยเที่ยงคืน มอบเหรียญเจริญ วัดอักษร ประจำปี 2552 ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่มอบให้กับนักต่อสู้เพื่อสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง ในการมีส่วนร่วมในระบอบประชาธิปไตย โดยผ่านกิจกรรมอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม การปกป้องทรัพยากร หรือการเคลื่อนไหวทางการเมืองภาคประชาชนในทุกรูปแบบ ให้แก่ สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย

ในงานดังกล่าว นางสาวจิตรา คชเดช ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ ในฐานะตัวแทนสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ กล่าวปาฐกถา เรื่อง “บทเรียนและการต่อสู้ของสหภาพแรงงานกับรัฐและทุนข้ามชาติ” ดังนี้



00000





จิตรา คชเดช
ที่ปรึกษาสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ






“ความเข้มแข็งของเรา ไม่มีอำนาจใด ที่จะล้มล้างไปได้และผมคิดว่า…ชุมชนของเราต้องดีขึ้นเมื่อพี่น้องประชาชนรวมตัวกัน พลังของเรายิ่งใหญ่…หลาย ๆ เรื่องที่จะเข้ามาในชุมชน แม้แต่นายทุนข้ามชาติก็แล้วแต่…เราสู้ได้ ถ้าพี่น้อง ประชาชน ยังรวมตัวกัน” นี่เป็นคำกล่าวของเจริญ วัดอักษร




สหภาพแรงงานไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนลแห่งประเทศไทย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2523 ได้ผ่านการยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างต่อบริษัทไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด มาอย่างต่อเนื่อง เรื่องค่าจ้างและสวัสดิการเรื่องสิทธิเสรีภาพของคนงานเช่นการลางานเรื่องศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ในปี 2524 มีการยื่นข้อเรียกร้องให้นายจ้างเยอรมันหยุดกิริยาเหยียดหยามคนไทย ทุกอย่างเกิดขึ้นจากการยื่นข้อเรียกร้องของคนงานและสหภาพแรงงานฯ ต่อบริษัทฯ ทั้งหมด ทุกอย่างไม่ได้มาจากนายจ้างใจดี และให้มาเฉยๆ โดยที่ไม่มีสาเหตุ บริษัทไทรอัมพ์อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ได้จดทะเบียนเมื่อปี พ.ศ. 2512 ได้เช่าอาคารสิวะดล แถวถนนคอนแวนต์ สีลม โดยมีคนงานไม่กี่ 100 คน และเริ่มขยายกิจการมีผู้ถือหุ้นที่น่าสนใจ คือนายเดวิด ไลแมน เจ้าของบริษัทติลลิกีแอนด์กิบบินส์ บริษัทที่ปรึกษาทางกฎหมายเก่าแก่ที่สุดในมืองไทย 100 กว่าปีและนางเลียวนี่ เดซี่ เวชชาชีวะ มีชาวเยอรมันเป็นหุ้นส่วนใหญ่จดทะเบียนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ปัจจุปันบริษัทตั้งอยู่ที่ที่ 393 หมู่ 17 นิคมอุตสาหกรรมเมืองใหม่บางพลี ต.บางเสาธง อ.บางเสาธง จ. สมุทรปราการ มีคนงานประมาณ 4,200 คน และทำการผลิตชุดชั้นใน ชุดว่ายน้ำ ยี่ห้อ ไทรอัมพ์ วาเลเซีย สล๊อคกี้ AMO, HOM และได้รับจ้างผลิตชุดชั้นในชื่อดังหลายยี่ห้อเช่นมาร์คแอนสเปนเซอร์ บริษัทได้เริ่มขยายสาขาไปที่จังหวัดนครสวรรค์ ชื่อบริษัท บอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด. ที่อยู่ : 194/2 หมู่ 5 พหลโยธิน ตำบลหนองกรด อำเภอเมือง จ. นครสวรรค์ 60240 และเมื่อปี 2551 บริษัทบอดี้แฟชั่นฯ นครสวรรค์ ได้รับการส่งเสริมการลงทุนจากคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) เป็นเงิน 75.5 ล้านบาท ได้ขยายโรงงานรองรับการผลิตบรรจุพนักงานได้ 2,000 กว่าคน

สหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ เป็นสหภาพแรงงานฯ ที่ทำงานกับสมาชิกและคนงานมาโดยตลอดเราเป็นสหภาพแรงงานฯ ที่ใช้ระบบการเก็บเงินค่าบำรุง สื่อข่าวสาร รับเรื่องราวร้องทุกข์ รับคำเสนอแนะ ผ่านระบบตัวแทนไลน์ตัวแทนแผนก และเป็นสหภาพแรงงานที่ประธานสหภาพมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากที่ประชุมใหญ่

ตัวแทนไลน์ตัวแทนแผนกมาจากไหน? ก็คือได้รับการคัดเลือกจากสมาชิกในไลน์การผลิตนั้นๆ โดยใช้โครงสร้างของบริษัทให้เกิดประโยชน์คือตัวแทนไลน์เทียบเท่าหัวหน้างาน แต่มาจากการเลือกตั้งของคนในไลน์นั้น หนึ่งไลน์การผลิต เท่ากับประมาณห้าสิบคน ตัวแทนไลน์จะนำเรื่องต่างๆ เข้าสู่ที่ประชุมตัวแทนไลน์ซึ่งจัดให้มีเดือนละหนึ่งครั้งและกรณีเร่งด่วนนำสู่กรรมการสหภาพแรงงานฯ กรรมการจะนำเรื่องเข้ามาแก้ปัญหาโดยเร็ว เมื่อมีคนงานใหม่ตัวแทนไลน์จะแนะนำให้เป็นสมาชิกสหภาพแรงงาน สหภาพแรงงานฯ จึงมีสมาชิกในฝ่ายผลิตเกือบร้อยเปอร์เซ็นต์ซึ่งถือว่าเป็นสหภาพแรงงานที่เป็นประชาธิปไตย

การจัดกิจกรรมสมาชิก สหภาพแรงงานจัดให้มีกลุ่มศึกษาในเวลาพักกลางวันใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีเราจะคุยกันทุกเรื่องเรื่องปัญหาในบ้าน ในโรงงาน ในบ้านเมือง และจัดให้การศึกษาหลังเวลาเลิกงานในเเรื่องต้นทุนการผลิต กำไร จำนวนงานที่ทำกับสิ่งที่เราได้ตอบแทน และจัดให้กับเพื่อนคนงานในโรงงานทุกคน

สหภาพแรงงานฯ ได้ป็นสหภาพที่ร่วมก่อตั้งและเป็นสมาชิกสหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอฯ ได้เข้าร่วมเรียกร้องประกันสังคม เรียกร้องประกันการว่างงาน เข้าร่วมกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญเช่นเหตุการณ์พฤษภาปี 35 เข้าร่วมต่อต้านรัฐประหาร ปี 49 เราเรียกร้องสิทธิทำแท้งเข้าถึงสุขอนามัยและถูกกฎหมายรวมถึงเรียกร้องรัฐสวัสดิการ

ในปี 2535 สหภาพแรงงานฯ ได้พาคนงานผละงานทั้งหมดเรียกร้องให้นายจ้างเข้ามาดูแลคนงานเรื่องสวัสดิการรถรับส่ง ได้หยุดงาน 18 วัน จนเป็นเหตุให้รัฐมนตรีใช้มาตรา 35 ให้คนงานกลับเข้าทำงาน

เมื่อปี 2542 สหภาพแรงงานฯ ได้ยื่นข้อเรียกร้องต่อบริษัทฯ ไม่สามารถตกลงกันได้จนถึงขั้นนายจ้างปิดงาน คนงานชุมนุมอยู่หน้าโรงงาน 22 วันและได้มีข้อตกลงสภาพการจ้างออกมาเรื่องการเลิกจ้างให้นายจ้างต้องร่วมกับสหภาพแรงงานฯ ให้เกิดความเป็นธรรมและเสมอภาค

ในบริษัทบอดี้ แฟชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้มีระบบการจ้างงานที่ให้คนงานมีแรงจูงใจในการทำงานสำหรับพนักงานเย็บ คือเย็บงาน 40 ชิ้นบริษัทจะจ่ายเป็นคูปอง ในคูปองจะกำหนดนาทีแล้วแต่ความยากง่าย เมื่อได้นาทีแล้วจะต้องนำไปส่งตอนเย็นเลิกงาน และบริษัทจะนำคูปองมาคิดเป็นเงิน (ราคาต่อนาที มาจากการยื่นข้อเรียกร้อง ตัวอย่างเช่น วันนี้ทำงานได้ 500 นาทีX ราคาคูปอง 1.300บาท=650 บาท เท่ากับคนงานจะได้ค่าจ้าง 650 บาท ถ้าทำไม่ได้จะได้ค่าจ้างมาตรฐาน 333 บาท) ฉะนั้นคนงานยิ่งทำงานมากยิ่งได้เงินมากพวกเราเลยได้เห็นการทำงานที่ไม่กินน้ำ ไม่เข้าห้องน้ำ เข้างานก่อนเวลา และป่วยเป็นโรคไต ปวดหลังกันมากที่สุด เมื่อต้นปี 2547 บริษัทฯ ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงขบวนการผลิต และจะใช้ที่ประเทศไทยเป็นที่แรกนำร่องและเริ่มใช้กับส่วนที่ผลิตชุดว่ายน้ำเท่านั้น ถ้าที่ไทยประสพความสำเร็จจะนำไปปฎิบัติที่อื่นต่อไป คือลดนาทีคูปองเคยเย็บได้ 40 ชิ้น ได้ 10 นาที มาเปลี่ยนเป็น 5 นาที สหภาพแรงงานฯ ได้ออกมาคัดค้านจนเป็นเหตุให้บริษัทฯ ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ จนถึงปัจจุปัน (พวกเราเชื่อว่าเป็นระบบการจ้างงานที่ขูดรีดแรงงานของเรามากที่สุดในโลก)

ในขณะเดียวกันเมื่อ ปี 2549 สหภาพแรงงานได้ตั้งคณะกรรมการสหภาพแรงงานชุดใหม่มี จิตรา คชเดช เป็นประธานสหภาพแรงงานฯ และเป็นพนักงานเย็บชุดว่ายน้ำและกรรมการสหภาพแรงงานทั้งหมดส่วนใหญ่เกินครึ่งมาจากส่วนผลิตชุดว่ายน้ำและในปีนี้เองเป็นปีแรกที่ประธานสหภาพมาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากที่ประชุมใหญ่ ตั้งแต่กรรมการชุดใหม่ถูกเลือกตั้งมา เมื่อมีการเลิกจ้างคนงานไม่เป็นธรรม การจัดรถรับส่งที่ไม่ได้มาตรฐาน การจัดผ้ายูนิฟอร์มที่คุณภาพต่ำให้กับคนงาน การจัดงานวันครอบครัว การจัดงานไปเที่ยวต่างจังหวัดที่เป็นไปแบบไม่โปร่งใส รวมถึงการออกคำสั่งใบเตือนเร่งเป้าการผลิตสำหรับคนท้องคนงานอายุมาก และความปลอดภัยในโรงงาน คนงานในส่วนชุดว่ายน้ำจะเริ่มหยุดทำงานล่วงเวลาและนำไปสู่การหยุดทำงานล่วงเวลาของคนงานทั้งโรงงาน และเรียกร้องให้มีการตรวจสอบทุกเรื่องอย่างเข้มงวดและสหภาพแรงงานได้ส่งกรรมการสหภาพเข้าไปดูแลทุกเรื่องอย่างใกล้ชิด มีอยู่ครั้งหนึ่งในบริษัทฯ มีพนักงานเอาเหล้ามาดื่มในเวลาทำงานในวันหยุดทั้งหมดประมาณ 20 คน รวมถึงหัวหน้างานด้วย บริษัทฯ เลิกจ้างคนงานกินเหล้าในโรงงาน 5 คน สั่งพักงาน 1 คน ที่เหลือไม่มีการลงโทษใดๆ ครั้งนั้นสหภาพแรงงานเรียกร้องให้บริษัทฯ ไม่เลือกปฏิบัติและมีคนงานหยุดการทำงานล่วงเวลา จนเป็นเหตุให้บริษัทฯ รับพนักงานที่ถูกเลิกจ้างกลับเข้าทำงานตามปกติ

เมื่อเดือนสิงหาคม 2549 พนักงานฝ่ายขายในกรุงเทพฯ และปริมณฑลได้พร้อมใจกันผละงาน เพื่อเรียกร้องให้บริษัทเอาผู้บริหารระดับสูงของฝ่ายขายออกไปและให้ผู้บริหารชาวสิงคโปรค์ออกมาขอโทษคนงานกรณีที่เอาเท้าเต๊ะงานให้พนักงานขายคนไทยและให้คืนค่าคอมมิชชั่นจากการขายให้เท่าเดิม ในขณะนั้นสหภาพแรงงานได้เข้าไปร่วมเจรจาจนสามารถตกลงกันได้และในครั้งนั้นพนักงานทั้งหมดฝ่ายขายทั่วประเทศได้มาเป็นสมาชิกสหภาพแรงงานทั้งหมด

ในปี 2550 ในขณะที่ประเทศไทยกำลังจัดให้มีรัฐธรรมนูญใหม่ ในขณะที่คนงานไทรอัมพ์กำลังจะยื่นข้อเรียกร้องเพื่อเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้างเพื่อปากท้องของตัวเอง พวกเราไม่สามารถจัดให้มีการประชุมสมาชิกได้ พวกเรามีทหารมาแจ้งว่าไม่ให้จัดการประชุม และเราก็มีทหารมาตั้งเต๊นที่หน้าโรงงานเพื่อตรวจบัตรคนงานที่ทำโอทีและถามว่าพวกเราจะไปใหนกัน ในขณะที่ประธานสหภาพแรงงานโดนนายจ้างเรียกไปขอความร่วมมือห้ามหยุดงานเพราะ กอ.รมน.จังหวัดได้ขอร้อง

เมื่อวันที่ 24 เมษายน 2551 ประธานสหภาพแรงงานฯ จิตรา คชเดช ได้รับเชิญให้ไปออกรายการโทรทัศน์ ช่อง NBT เรื่องทำท้องทำแท้ง เวลา 5 ทุ่ม ในขณะที่ประเทศไทยมีความขัดแย้งทางการเมืองบริษัทฯ ได้ฉวยโอกาส วันที่ 28 เมษายน เริ่มมีใบปลิวเป็นกระดาษที่ใช้แล้วของบริษัทฯ ออกมาโจมตีประธานสหภาพฯ มีผู้จัดการบางคนทำใบปลิวด่าประธานสหภาพฯ โดยใช้กระดาษอุปกรณ์ทุกอย่างของบริษัททั้งหมด และในใบปลิวมีข้อความให้ทำร้ายและถ่ายเอกสารคอมเม้นท้ายข่าวเว็บไซต์ผู้จัดการมาแจกคนงานวันที่ 30 เมษายน บริษัทฯ เรียกจิตรา ให้ไปชี้แจง เรื่องดังกล่าวและบอกว่าบริษัทไม่ได้มีปัญหาอะใร หลังการชี้แจงอนุญาติให้ใช้เครื่องเสียงและพื้นที่โรงอาหารของบริษัทฯ ในการชี้แจงต่อเพื่อนพนักงานแต่สมาชิกสหภาพแรงงานเข้าใจทันทีว่าเป็นการทำลายสหภาพแรงงานไม่ใช่เรื่องส่วนตัวของประธาน

วันที่ 9 มิถุนายน 2551 สหภาพแรงงานฯ ยื่นข้อเรียกร้องเปลี่ยนแปลงสภาพการจ้าง บริษัทฯ ได้นัดการเจรจาข้อเรียกร้อง ตัวแทนของบริษัทโดยนายมาคูส คาร์บิส (Markus Kabisch) กล่าวว่า “ไทรอัมพ์เป็นบริษัทที่มีบริษัทเป็นของตัวเอง ยังเป็นบริษัทท้ายๆ ที่คงโรงงานไว้ ตามตารางเห็นว่าไทรอัมพ์มีต้นทุนสูง เจ้าของกิจการอาจมีมุมมองในเรื่องการจ้างซับคอนแทคแทน” การเจรจาไม่สามารถตกลงกันได้ จนนำไปสู่การพิพาทแรงงาน การเจรจาวันที่ 30 มิถุนายน 2551 สหภาพแรงงานฯ ได้แจ้งบริษัทว่าจะขอมตินัดหยุดงานในวันที่ 4 กรกฎาคม 2551 วันที่ 2 กรกฎาคม 2551 บริษัทฯ และสหภาพแรงงานบรรลุข้อตกลงเป็นข้อตกลงที่สหภาพแรงงานฯ ไม่คิดว่าจะได้ฟังแบบไม่เชื่อว่าบริษัทจะให้ แต่เป็นที่พอใจของคนงานเป็นอย่างมาก

วันที่ 29 กรกฎาคม 2552 เป็นวันที่บริษัทฯ เรียก จิตรา ประธานสหภาพแรงงาน ไปที่อาคารวานิชแล้วแจ้งว่าบริษัทได้เลิกจ้างตามคำสั่งศาล เมื่อคนงานทราบข่าว วันที่ 30 กรกฎาคม 2551 สมาชิกสหภาพแรงงานและคนงานเกือบทั้งหมดได้ผละงานออกมาประท้วงเรียกร้องให้บริษัทรับประธานสหภาพกลับเข้าทำงาน สมาชิกเชื่อว่าเป็นการทำลายสหภาพแรงงาน วันที่ 12 กันยายน 2551สามารถหาข้อยุติได้ เป็นเวลา 45 วัน

สหภาพแรงงานเข้าใจว่าที่สุดพวกเราไม่สามารถทนต่อสภาพที่ไม่มีเงินค่าเช่าบ้าน เงินให้ลูกไปโรงเรียนและเงินที่ต้องส่งให้พ่อกับแม่ที่ต่างจังหวัดได้ จึงปรึกษากันว่าทุกคนจะกลับเข้าทำงานและจะเก็บเงินเป็นค่าจ้างให้จิตรา อยู่กับสหภาพแรงงาน โดยเป็นเจ้าหน้าที่และที่ปรึกษาและจิตราไปสู้ในชั้นศาล

ศาลใช้เวลาไต่สวนสี่วันและหลังจากนั้น หนึ่งอาทิตย์ศาลตัดสินว่าการใส่เสื้อที่มีข้อความไม่ยืนไม่ใช่อาชญากร คิดต่างไม่ใช่อาชญากรรม ไปออกทีวีนั้นเป็นเหตุให้นายจ้างได้รับความเสียหายให้นายจ้างเลิกจ้างได้เพราะลูกจ้างไม่มีจิตวิญญาณประชาชาติไทย

ในขณะที่บริษัทฯ มี Code of Conduct หลักปฎิบัติของไทรอัมพ์ได้พูดสิทธิเสรีภาพ ในการแสดงออก ความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง ได้รับมาตรฐานแรงงานไทย แต่รัฐบาล กระทรวงแรงงานไม่สามารถดำเนินการอะใรกับบริษัทฯ ได้อ้างอย่างเดียวว่าอยู่ในชั้นศาล

วันที่ 29 มิถุนายน 2552 บริษัทได้ประกาศเลิกจ้างคนงานทั้งหมด 1,959 คน คนงานที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการผลิตชุดว่ายน้ำทั้งหมดถูกเลิกจ้างเหลือไว้แต่พนักงานเย็บตัวอย่างชุดว่ายน้ำ ทำแพทเทิร์น ทำนาทีคูปอง และเหลือหัวหน้างานไว้ เพียง 8 คน คนงานในการผลิตชุดชั้นใน ถูกเลือกส่วนใหญ่ คนท้อง คนอายุใกล้เกษียณ คนป่วย คนพิการ และคนที่ลงชื่ออันดับต้นๆ ที่แสดงเจตนารมณกลับเข้าทำงานเมื่อวันที่ 15 กันยายน 2551มีกรรมการสหภาพแรงงานถูกเลิกจ้างทั้งหมด 13 คน จากกรรมการสหภาพแรงงาน 18 คน

การเลิกจ้างครั้งนี้บริษัทฯ อ้างว่า “ต้องการปรับปรุงโครงสร้างค่าใช้จ่ายระยะยาวของไทรอัมพ์ทุกหน่วยงาน จุดมุ่งหมายเพื่อการปรับปรุงประสิทธิภาพโดยรวมขององค์กรให้มีประสิทธิผล ทำให้เกิดความมั่นใจว่าธุรกิจของเรายังคงยืนหยัดอยู่ได้ด้วยความมั่นคงและยังขยายต่อได้เมื่อโอกาสมาถึง” พวกเราเชื่อว่าการเลิกจ้างครั้งนี้เป็นการทำลายสหภาพแรงงาน หาแหล่งค่าจ้างราคาถูก เตรียมใช้ระบบจ้างงานซับคอนแทค ที่นายทุนไม่ต้องรับผิดชอบสวัสดิการ การเรียกร้องจากสหภาพแรงงาน


ตลอดระยะเวลา 29 ปีของสหภาพแรงงานไทรอัมพ์ฯ เป็นเวลาที่ต้องต่อสู้ตลอดนับตั้งแต่วันเริ่มต้นที่พวกพี่ๆ ต้องหลบๆ ซ่อนๆ กว่าจะมีองค์กรได้ ก็ต้องเริ่มต้นปกป้อง เรียกร้องสิทธิเสรีภาพ ปากท้อง ความเป็นอยู่ที่ดีของคนงานต่อนายทุน ต่อรัฐบาล ไม่เคยมีสักครั้งที่ทุกอย่างจะได้มาโดยง่ายดายแต่พวกเรายังได้บ้าง ไม่ได้บ้างถึงจะไม่ถึงเป้าหมายแต่มันเกิดจากการ “รวมตัวกัน” ของคนงานจึงทำให้เรามีอำนาจ พลังที่จะสามารถต่อรองได้




สหภาพแรงงานฯ กำลังถูกทำลายโดยนายทุนที่ร่วมมือกับรัฐบาล กลไกทุกอย่างของรัฐที่สร้างขึ้นมา เช่น คุก ศาล ทหาร ตำรวจ กระทรวงแรงงาน มีไว้เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนายทุน เพราะนายทุนต้องการกำไรสูงสุดในขณะที่รัฐบาลก็มีแต่ตัวแทนนายทุน ในขณะที่คนงานคนจนไม่มีตัวแทนของเราในรัฐบาลมีแต่คอยเรียกร้องให้รัฐบาลช่วย เพราะเชื่อว่ารัฐจะเป็นกลางแต่ตลอดระยะเวลาการต่อสู้ของคนงานไทรอัมพ์ไม่เคยมีสักครั้งที่รัฐจะช่วยเหลือและเป็นกลาง มีแต่รัฐจะเข้ามาแทรกแซงเมื่อคนงานอย่างพวกเรากำลังจะได้อะไรจากนายทุนบ้าง เมื่อพวกเราถูกกระทำเราไม่เคยเห็นหน้ารัฐ เช่นทุกวันนี้ที่พวกเราชุมนุมกันที่หน้าโรงงานเพราะถูกเลิกจ้าง ทำไมต้องเลิกจ้างเพราะนายทุนและรัฐกำลังทำลายการรวมตัวของเรา เพราะเขารู้ว่าเราสู้ได้เรานำไปสู่การเปลี่ยนแปลงได้ถ้าเรารวมตัวกัน

กลไกสำคัญที่รัฐสร้างขึ้นมาที่คนงานส่วนใหญ่หลงเชื่อว่าจะทำให้ชีวิตคนงานดีขึ้นคือระบบไตรภาคี ระบบไตรภาคีเป็นระบบที่ทำให้คนงานแบ่งแยก ช่วงชิงและไม่ได้ให้ประโยชน์กับขบวนการแรงงานแต่เป็นการเอื้อประโยชน์กับผู้นำบางคนที่สุดแล้วคนงานก็ยังถูกควบคุมมากขึ้นจากพวกเรากันเองด้วยซ้ำ

เมื่อเราย้อนถึงคำพูดของคุณเจริญ วัดอักษร “เราสู้ได้ ถ้าพี่น้อง ประชาชน ยังรวมตัวกัน” เช่นเดียวกันคนงานสู้ได้ถ้าเรารวมตัวกัน

การต่อสู้ของคนงาน คนจนไม่มีวันจบสิ้นตราบใดที่นายทุนยังไม่หยุดการแสวงหากำไรสูงสุด ตราบใดที่อำนาจรัฐอยู่ในมือนายทุน และตราบใดที่คนงานคนจนยังขาดการรวมตัวกันและคนงานคนจนยังไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ


ที่มา http://www.prachatai.com/journal/2009/08/25550